ปัญหาใหญ่ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สาเหตุส่วนใหญ่มาจาก "ยางแตก" หรือ "ยางระเบิด" แต่หากเราสังเกตสัญญาณที่บอกความเสี่ยงก่อนเกิดเหตุขึ้นได้ จะสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุเหล่านี้ได้ ด้วย 4 สัญญาณดังต่อไปนี้
สัญญาณเสี่ยงรถยนต์ยางแตก ยางระเบิด
เมื่อเราใช้รถยนต์ไปสักระยะนึง แน่นอนว่าอุปกรณ์ต่างๆ ในรถอาจเสื่อมสภาพรวมไปถึง "ยาง" ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมากๆ หากเราละเลยการตรวจเช็คสภาพ ก็อาจจะเป็นสาเหตุของ "ยางแตก" หรือ "ยางระเบิด" และทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ วันนี้เลดี้จะมาแนะนำวิธีสังเกตุอาการที่บ่งบอกว่ายางของเราสุ่มเสี่ยงที่จะแตก มีอะไรบ้างไปชมกันค่ะ
1. หน้ายางเสื่อมสภาพ มีเสียงดังระหว่างการขับขี่และเลี้ยว
เป็นการสังเกตอาการจากการขับขี่ โดยอาศัยการฟังเสียงที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้น เพราะหากเราใช้รถคันเดิมอยู่เป็นประจำ การที่มีเสียงแปลกปลอมขึ้นขณะขับขี่ นั่นอาจเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนคุณว่ายางรถเริ่มเสื่อมสภาพแล้วนะ หน้ายางอาจจะมีเนื้อที่แข็งกระด้าง ให้ความรู้สึกต่างไปจากเดิม ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยางแตกจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็คือ "หน้ายางเสื่อมสภาพนั่นเอง"
2. เกิดความผิดปกติบนผิวยาง
เวลาที่เราเติมลมยางจะเป็นโอกาสที่เราจะสามารถเช็คสภาพและดูความผิดปกติบนผิวยางได้ ซึ่งอาการเบื้องต้นมักจะพบร่องรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอบๆ ยาง อาทิ ยางบวม, แก้มยางแตก, มีรอยร้าว และดอกยางหมดสภาพ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดยางแตกได้ โดยร่องรอยและความผิดปกติเหล่านี้เกิดจาก "ยางเก่า ยางหมดอายุ หรือใช้งานมาอย่างหนักหน่วง"
3. ใช้ความเร็วเกินเกณฑ์
การใช้ความเร็วสูงมีผลอย่างมากต่อความเสื่อมสภาพของยางรถยนต์ เพราะการใช้ความเร็วที่มากเกินกว่าที่ยางจะรับได้นั้นจะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น และทำให้ยางแตกหรือระเบิดได้ ซึ่งคุณสามารถเช็คความเร็วที่เหมาะสมของยางแต่ละชนิดได้บริเวณตัวอักษรที่ระบุไว้ตรงแก้มยาง ดังนั้นควรขับขี่ด้วยความเร็วที่กำหนดไว้ตามแต่ละชนิด
รหัสความเร็ว | ความเร็วสูงสุด (กิโลเมตร/ชั่วโมง) |
P | 150 |
Q | 160 |
R | 170 |
S | 180 |
T | 190 |
U | 200 |
H | 210 |
V | 240 |
W | 270 |
Y | 300 |
ZR | มากกว่า 240 |
*ตัวอย่างจากภาพคือตัว V เท่ากับสามารถวิ่งได้ในความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
4. บรรทุกของหนักมากเกินไป
รถยนต์ทั่วไปจะมีความสามารถในการบรรทุกไม่เท่ากัน โดยที่แต่ละคันจะมีค่าที่กำหนดไว้บนยางรถยนต์แต่ละคัน ว่าสามารถรองรับน้ำหนักสูงสุดได้เท่าไหร่ ซึ่งสามารถสังเกตุได้ตรงตัวเลขข้างแก้มยางเช่นเดียวกับความเร็วที่กำหนด นอกจากนี้การบรรทุกของหนักเกินไปก็ทำให้เปลืองน้ำมันและเกิดการเสื่อมสภาพของยางรถยนต์ด้วยเช่นเดียวกัน
รหัสแทนน้ำหนัก | น้ำหนักที่รับได้สูงสุด (กิโลกรัม) | รหัสแทนน้ำหนัก | น้ำหนักที่รับได้สูงสุด (กิโลกรัม) |
69 | 325 | 90 | 600 |
70 | 335 | 91 | 615 |
71 | 345 | 92 | 630 |
72 | 355 | 93 | 650 |
73 | 365 | 94 | 670 |
74 | 375 | 95 | 690 |
75 | 385 | 96 | 710 |
76 | 400 | 97 | 730 |
77 | 412 | 98 | 750 |
78 | 425 | 99 | 775 |
79 | 437 | 100 | 800 |
80 | 450 | 101 | 825 |
81 | 462 | 102 | 850 |
82 | 475 | 103 | 875 |
83 | 487 | 104 | 900 |
84 | 500 | 105 | 925 |
85 | 515 | 106 | 950 |
86 | 530 | 107 | 975 |
87 | 545 | 108 | 1000 |
88 | 560 | 109 | 1030 |
89 | 580 | 110 | 1060 |
*ตัวอย่างจากภาพคือตัวเลข 105 เท่ากับสามารถบรรทุกน้ำหนักได้สูงสุด 925 กิโลกรัม
ดังนั้นแล้วการเช็คสภาพยางรถยนต์จึงเป้นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรตรวจเช็คสภาพและเช็คความพร้อมในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติแล้วยางรถยนต์จะมีอายุประมาณ 4-6 ปี แต่ทางเทคนิคส่วนใหญ่จะแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 3-5 ปี หรือราวๆ 50,000 กิโลเมตร เพื่อป้องกันยางแตกและยางระเบิดที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับผู้ขับขี่ และผู้ร่วมทางอีกด้วย
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น