มาดูความสำคัญของน้ำมันเครื่อง และการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่เราไม่ควรละเลย เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ มาดูวิธีสังเกตอาการของเครื่องยนต์ ที่เป็นสัญญาณเตือนเพื่อบอกให้รู้ว่า คุณควรต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้วนะ
อาการมันฟ้อง! รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนที่รถจะพัง
รถยนต์ก็เปรียบเสมือนกับร่างกายเรา ต้องหมั่นเช็คอัพและดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ควรทำในเบื้องต้นเลยก็คือการตรวจสภาพรถยนต์ เช็คลมยาง เช็คของเหลวต่างๆ อาทิ ระดับน้ำหล่อเย็น ระดับน้ำมันเกียร์ และระดับน้ำมันเครื่อง เป็นต้น และเจ้า น้ำมันเครื่อง นี่แหละคือตัวการสำคัญที่ทำให้รถของคุณยังสามารถวิ่งได้อยู่ ซึ่งหากละเลยการเปลี่ยนถ่ายอาจทำให้เครื่องยนต์เกิดปัญหาหนักได้เลยนะ วันนี้เลดี้มีทริค จับสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือน ให้รู้ว่า "เช็คฉันหน่อยเถอะ ฉันกำลังจะตุยแล้ว"
ความสำคัญของน้ำมันเครื่อง
อย่างที่เลดี้กล่าวไปข้างต้นว่า น้ำมันเครื่อง คือตัวการสำคัญที่ทำให้รถยังสามารถวิ่งได้อยู่ โดยจะช่วยเติมความหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดทานของระบบภายในรถยนต์ ช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่เกิดจากการเผาไหม้ ช่วยป้องกันสนิมและการกัดกร่อน และช่วยป้องกันการรั่วของกำลังอัดอีกด้วย
ซึ่งการตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องรวมถึงสีของน้ำมันเครื่องว่ายังปกติดีอยู่หรือไม่ สามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยการจอดดับเครื่องให้เครื่องเย็น ประมาณ 20-30 นาที แล้วดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา เพื่อตรวจเช็คทั้งระดับน้ำมันและสีหรือความสะอาดของน้ำมัน ให้อยู่ในระดับที่ Max หรือปกติ และนอกจากนี้ยังสามารถสังเกตได้จากอาการของเครื่องยนต์เวลาขับได้อีกด้วย ซึ่งจะมีอาการดังต่อไปนี้
1. เร่งเครื่องไม่ขึ้น ไม่โฟลว์
อาการของการเร่งเครื่องไม่ขึ้นทำให้ขับขี่ไม่โฟลว์ อาจมาควบคู่กับการซดน้ำมันที่มากกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทำให้มีสิ่งสกปรกปะปนไปกับน้ำมันเครื่องได้ เป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
2. เสียงเครื่องยนต์ดังผิดปกติ
สำหรับอาการนี้อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถเกิดจากชิ้นส่วนอะไหล่ของตัวรถเสื่อมสภาพ รวมไปถึงน้ำมันเครื่องอาจมีสภาพเก่า หรือ สกปรกจนเกินไป ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์มีความผิดปกติ และเกิดเสียงดังขึ้นได้
3. จอดรถทิ้งไว้นานเกินไป
การจอดรถทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน น้ำมันเครื่องสามารถเสียหรือที่เรามักจะได้ยินที่เค้าเรียกกันว่า "น้ำมันบูด" ได้ ซึ่งเกิดจากฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกเกาะตัวขึ้น มีโอกาสที่น้ำมันหล่อลื่นจะแห้งกัง ทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้
4. สีของน้ำมันเครื่องไม่ใส
จากที่เลดี้กล่าวไป ในเรื่องของสีของน้ำมันเครื่อง จะต้องเป็นสีเหลืองทองที่มีลักษณะใสไม่ขุ่น และไม่หนืดจับตัวเป็นก้อน หากสีของน้ำมันเครื่องกลายเป็นสีดำ หรือน้ำตาล แสดงว่าถึงวาระที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้ว เนื่องจากเผชิญกับการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง
5. วิ่งครบระยะทาง หรือครบระยะเวลา
หากคุณเป็นคนที่ใช้รถยนต์อยู่ตลอดเวลา คุณสามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแบบ "ตามระยะทาง" โดยดูได้จากตัวเลขบนจอไมล์นำไปเทียบกับตัวเลขที่เขียนระบุไว้ ซึ่งได้จากร้านที่เข้าไปใช้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง อาทิ บีควิก ค็อกพิท เป็นต้น หากถึงระยะทางที่ระบุไว้แล้วควรรีบไปจัดการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องโดยด่วน ซึ่งระยะทางนั้นจะขึ้นอยู่กับน้ำมันที่เติม ดังต่อไปนี้
- น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) 7,000 - 7,500 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) 10,000 - 15,000 กิโลเมตร
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully-Synthetic) 15,000 - 20,000 กิโลเมตร
สำหรับใครที่ไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์ หรือไม่ค่อยได้เดินทางบ่อยๆ ให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแบบ "ตามระยะเวลา" ซึ่งระยะเวลาก็จะขึ้นอยู่กับน้ำมันที่เติมเช่นเดียวกัน ดังต่อไปนี้
- น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ทุกๆ 6 เดือน
- น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) ทุกๆ 6 - 9 เดือน
- น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully-Synthetic) ทุกๆ 1 ปี
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น