หลายคนคงเคยได้ดูคลิปเปิดตัวในต่างประเทศของ All-New Chevrolet Sonic ผ่านทาง Youtube ไปแล้วกับ Sonic’s 1st Sky Drive, 1st Music Video, 1st Kickflip, 1st Bungee ไม่ว่าจะเป็นการโยนเจ้า Sonic ดิ่งลงจากฟากฟ้า การนำ Sonic ไปวิ่งลุยทางคลุกฝุ่น พร้อมแสดง Music Video การใช้ Sonic เล่นท่า Kickflip แทน Skateboard และจับเอา Sonic กระโดด Bungee Jump
ทั้งหมดนี้สร้างความแตกต่างจากการเปิดตัวรถยนต์คันอื่นๆ เป็นอย่างมาก และสร้างกระแสความฮือฮาได้ไม่น้อย ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยไปเมื่อปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา กับสโลแกนที่มาพร้อมกับประโยคที่ว่า What is so you? และล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ทาง Chevrolet ประเทศไทยได้ผลิตตัวถัง Hatchback 5Dr สำเร็จเสร็จเป็นคันแรก และเตรียมพร้อมที่จะนำส่งสู่ตลาดต่อไป ซึ่งอีกไม่นานเราคงจะได้เห็น Sonic Hatchback วิ่งกันบนถนนในบ้านเรา คงต้องมาดูกันต่อไปว่า Chevy จะสามารถตีตลาดรถเล็กได้สำเร็จหรือไม่ จากความผิดหวังในตัว Aveo รวมถึงยอดขาย Optra ที่ไม่สู้ดีนักแต่ Cruze ก็ยังพอที่จะสามารถกู้หน้ารถยนต์ C-Segment ให้กับ Chevrolet ได้ ตอนนี้คงเหลือเพียงเจ้า Sonic นี้ล่ะที่จะ มาทำชื่อเสียงรถเล็กในกลุ่ม Sub-compact car คืนให้กับทาง Chevrolet
รูปโฉมกายภายนอก ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพ Chevrolet Sonic ในอินเตอร์เนตนั้น ดูด้านหน้าแล้วมันช่างคล้าย เจ้าฉลามอย่าง Lancer EX เสียจริง ราวกับเป็นพี่น้องกันอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะในส่วนของโคมไฟหน้าดูละม้ายคล้ายกันมาก แต่ทว่ามีความโดดเด่น ด้วยสไตล์แบบเปลือยโคมที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถจักรยานยนต์ Bigbike กระจังหน้าแบบกรอบโครเมียม, กระจกแบบพับไฟฟ้า จะมีมาในทุกรุ่นยกเว้น LS มือเปิดประตูทั้งด้านใน และนอก รวมถึงมือจับเปิดฝาท้าย แบบโครเมียมมีเฉพาะรุ่น LTZ นอกนั้น จะเป็นมือเปิดแบบสีเดียวกับตัวรถทั้งหมด ไฟตัดหมอกหน้า-หลังให้มาในทุกรุ่น ยกเว้น LS ที่จะมีให้เฉพาะไฟตัดหมอกหลัง สำหรับวงล้อนั้น ในรุ่น 4Dr LTZ และรุ่น Hatchback ทั้งหมดจะเป็นล้ออัลลอยขอบ 16” ลาย 5 ก้านคู่ ดูสวยงามชนิดไม่จำเป็นต้อเปลี่ยนแม็กเพิ่มอีก สำหรับ 4Dr LT จะเป็นล้ออัลลอยขอบ 15” ลาย 5 ก้านคู่ แต่คนละลายกับขอบ 16” และรุ่น 4Dr LS นั้นจะเป็นล้อกระทะขอบ 15” พร้อมฝาครอบ
รูปโฉมภายใน สำหรับการดีไซน์ออกแบบภายในนั้น ได้นำสไตล์ของ Cruze ยกจับตกแต่งใส่กันไปเลย เพื่อทำให้รถนั้นดูมีระดับเดียวกันกับ Compact car โดยภายในของ LTZ นี้เป็นสีทูโทน ส้ม-ดำ เช่นเดียวกันกับใน Cruze LTZ ส่วนรุ่นอื่นจะเป็นสีไทเทนียม-ดำ ที่เห็นจะเป็นจุดที่สร้างความโดดเด่นให้เลยก็คือ หน้าปัดแบบดิจิตัล เรืองแสงสีฟ้า ซึ่งรับกับไฟภายในห้องโดยสารสีฟ้าเช่นกัน วัสดุภายในเป็นผ้า Breva แต่ในรุ่น LS จะเป็นผ้า Flash เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 ยกเว้นในรุ่น LS พนักเท้าแขนคนขับมีเฉพาะรุ่น LTZ ลำโพงเครื่องเสียงแบบ 4 ตัวในทุกรุ่น และพิเศษ 6 ตัวในรุ่น LTZ แผงบังแดดที่มาพร้อมไฟส่องในตัวทั้งด้านคนขับและผู้โดยสาร คงถูกใจสาวๆ ที่ชอบแต่งหน้ากันไม่น้อย รวมถึงกล่องใส่แว่นตาที่อยู่เหนือศรีษะคนขับก็คงถูกใจคนติดแว่นกันแดดเช่นกัน
เครื่องยนต์ รหัส A14XER ที่เป็นเครื่องยนต์ Eco ของ Cruze ตัวนอก ขนาดความจุ 1398cc ที่ให้กำลัง 100แรงม้า @ 6000 rpm แรงบิด 130Nm @ 4000rpm เทคโนโลยีคู่วาล์วแปรผันต่อเนื่อง Double CVC ช่วยปรับวาล์วไอดี-ไอเสีย ตามรอบเครื่องยนต์ รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E20 เป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ของ Cruze ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดจากทาง Chevrolet ซึ่งดูๆไปแล้วในรถ Sub-Compact car นี้เห็นจะมีแต่ทางรถอเมริกันอย่าง Ford และ Chevrolet เพียง 2 ค่ายที่เล่นกับเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ซึ่งทาง Chevrolet นั้นทำมาตั้งแต่สมัย Aveo แล้วแต่ดูจะไม่ค่อยเกิดสักเท่าไร จนตอนท้ายต้องมีตัว 1.6 ออกมาให้ มาคราวนี้ยังคงใช้ความจุเครื่องยนต์ 1.4 ลิตรต่อไป ซึ่งทางรถค่ายญี่ปุ่นนั้นไม่นิยมเล่น เครื่องบล็อกนี้กันเลย สงสัยอนาคตเราอาจได้เห็น Chevrolet จับ Sonic มาใส่เครื่องยนต์ 1.6 หรือ 1.5 ลิตรเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้นก็เป็นได้
ระบบส่งกำลังและการควบคุม ระบบส่งกำลังเป็นแบบ เกียร์อัตโนมัติ 6 Speed พร้อมระบบ DSC (Driver Shift Control) เพื่อให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้เองตามที่ต้องการ ซึ่งสำหรับเจ้าเกียร์ลูกนี้ ค่อนข้างเพิ่มความสะดวสบายให้ในจังหวะที่เปลี่ยนเกียร์โดยที่คุณไม่ต้องมาโยกตรงคันเกียร์ เพียงแค่กดปุ่ม Toggle Switch ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ คุณก็ได้สัมผัสกับอารมณ์ขับขี่แบบสปอร์ตขึ้นมาอีกนิดแล้ว ด้านการควบคุม พวงมาลัยเป็นแบบเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า (EPS) เหมือนดั่งรถในยุคสมัยนี้เป็นกันแทบทุกคัน เพียงแต่น้ำหนักของพวงมาลัยในจังหวะออกตัวรอบต่ำๆ นั้น จะดูหนักที่สุดในรถระดับเดียวกันนี้
ระบบกันสะเทือนและเบรก ช่วงล่างมาตรฐาน Euro Ride คันนี้ถือว่าเป็นจุดขายหนึ่งของเจ้า Chevrolet Sonic เลย ด้านหน้านั้นเป็นแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีมตัว V คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความนุ่มนวล สามารถดูดซับแรงได้ดีเยี่ยม รวมถึงให้การยึดเกาะถนนได้ดีในระดับรถยุโรปเช่นกัน ด้านระบบเบรก หน้าเป็นแบบดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน ด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก ตามแบบฉบับของรถเล็ก อย่าง B-car ทั่วไป ซึ่งรถในระดับนี้ ที่มีให้ดิสก์เบรก 4 ล้อในทุกรุ่น เห็นจะมีเพียง Honda Jazz เท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ที่รถยนต์จากฝั่งอเมริกัน อย่าง Chevrolet และ Ford จัดออปชั่น ของเบรกมาให้สู้กับรถทางค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นไม่ได้
ระบบความปลอดภัย มีมาเพียบพร้อมให้ความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็น กระจกหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัย, สัญญาณกันขโมย, กุญแจ Immobilizer, ถุงลมนิรภัยคนขับมีให้ทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น LS และถุงลมนิรภัยคนนั่งมีเฉพาะรุ่น LTZ เบรกแบบ ABS และ EBD นั้นมีให้ทุกรุ่นยกเว้นรุ่น LS โครงสร้างนิรภัย BFI (Body-Frame Integral) ที่ได้รับการออกแบบให้มีพื้นที่ยุบตัวพร้อมคานกันกระแทกด้านข้าง เข็มขัดนิรภัยแบบ Load Limit ปรับสูงต่ำได้ ในรุ่น LT จะปรับได้เฉพาะด้านคนขับ สำหรับ LTZ Load Limit ปรับได้ทั้งคนขับและผู้โดยสาร
ทดลองขับ Chevrolet Sonic 4Dr 1.4 LTZ กรุงเทพฯ-หัวหิน
ในการขับรถทดสอบครั้งนี้ ขอขอบคุณ Chevrolet Sales (ประเทศไทย) เป็นอย่างมากที่ได้เอื้อเฟื้อรถมาให้ทดสอบในครั้งนี้ โดยคันที่ได้มานี้เป็น Chevrolet Sonic 4Dr 1.4 LTZ สีเทา Royal Gray ซึ่งถือเป็นตัว Top ของรุ่น 4ประตู กับเส้นทางในการวิ่งครั้งนี้เป็นระยะทางราว 500กม. โดยเส้นทางที่วิ่งนั้น วิ่งออกจากกรุงเทพฯ โดยออกทางเส้นพระราม 2 และมุ่งหน้าเพชรเกษม ไปยังอำเภอหัวหิน ซึ่งการจราจรนั้นส่วนใหญ่คล่องตัว แต่ทว่าไม่ได้เน้นขับประหยัดน้ำมัน เนื่องจากต้องการทดสอบสมรรถนะกำลังของเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร Ecotec ตัวนี้ โดยในขาไปกดคันเร่งแช่ความเร็วเฉลี่ยราว 130-140กม./ชม. แถมด้วยมีการแวะพักจอดหาที่ถ่ายรูปวิวสวยๆ อีกบ่อยครั้ง และเมื่อเข้ามาถึงในตัวเมืองหัวหินก็ได้ขับขี่แบบปกติ จนถึงขากลับไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม แถวชะอำ หาอัตราสิ้นเปลือง โดยระยะทางวิ่งทั้งหมดตั้งแต่ออกจากอาคารรสา จนมาถึงปั๊มที่คำนวนเป็นระยะทาง 340.9 กม. เติมน้ำมันเข้าไปจนหัวจ่ายตัด 26.026 ลิตร อัตราสิ้นเปลืองเท่ากับ 13.1 กม./ลิตร
หมายเหตุ ในการทดสอบครั้งนี้ มีผู้ขับน้ำหนัก 57 กก. และผู้โดยสารน้ำหนัก 61 กก. กับกระเป๋าสัมภาระอีก ราว 5 กก. สำหรับชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ทาง Chevrolet แจ้งว่าเป็นน้ำมัน gasohol 91
ซึ่งตัวเลขที่ได้นี้นั้น ดูจะเป็นเลขที่ไม่สวยเอาเสียเลยสำหรับ เครื่องยนต์ Ecotec 1.4 ลิตร แต่ต้องไม่ลืมว่า สไตล์การขับนี้เน้นทดสอบสมรรถนะเป็นหลัก และขับรถวนหาที่ถ่ายรูปสวยงาม ทำให้มีการจอดๆ ดับๆ บ่อย ซึ่งถ้าขับขี่แบบปกติ แบบที่ชาวบ้านเขาขับ ควรที่จะมี 15กม./ลิตร ให้เห็นกัน
หลังจากที่ได้รับกุญแจรถแล้วเข้ามานั่งในรถ ความรู้สึกแรกเลย คือ เบาะนั้นค่อนข้างแข็ง, เล็กโอบกระชับ แต่ที่ไม่ชอบเพราะทำเอาอึดอัดเป็นอย่างมาก คือ หมอนรองศรีษะที่รู้สึกเกะกะ และแข็ง ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกสบายนัก รวมถึงตำแหน่งพักเท้าด้านซ้ายเหมือนจะไม่มีอย่างรถคันอื่น เนื่องจากตำแหน่งมันอยู่ลึกเข้าไปมาก ทำให้รู้สึกเหมือนต้องยืดเท้าออกไป ซึ่งอาจทำให้หลายคนไม่ชิน สำหรับภายในนั้นในตัว LTZ นี้เป็นสีทูโทน ส้ม-ดำ ให้ความแตกต่างไม่เหมือนใคร เป็นสไตล์ที่หยิบยกมาจาก Cruze เและวัสดุหนังตกแต่งภายในนั้น รวมถึงความสวยงามภายในห้องโดยสาร ถือว่าทำได้เป็นลำดับต้นๆ ไม่ 1 ก็ 2 ในรถระดับเดียวกันนี้เลย มาตรวัดที่เป็นเอกลักษณ์นี้รวมถึงไฟอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องโดยสารเป็นโทนสีฟ้า สบายตา ดูสวยงาม แต่ในตอนกลางวันตรงหน้าปัดนั้นดูจะสร้างความรำคาญตาไม่น้อยในจังหวะที่หมุนพวงมาลัย เนื่องจากเงาของพวงมาลัยมันสะท้อนกับหน้าปัด ทำให้เกิดความรำคาญต่อสายตาพอสมควร ในส่วนของเครื่องเสียง ที่มาพร้อมกับลำโพง 6 ตัวในรุ่น Top นี้ ให้เสียงที่ดูมีมิติดีเยี่ยม เสียงเบสหนักแน่น แต่ความใสของเสียงนั้น อาจจะยังเป็นรองทางค่ายคู่แข่งอย่าง Ford เล็กน้อย และภายในเจ้า Sonic นี้ มีช่องเก็บของที่มากถึง 7 ช่องในด้านหน้ารถ ให้คุณวางของได้อย่างจุใจ ไม่เหมือนรถหลายค่ายที่จะวาง Smartphone กับกระเป๋าเงิน ทีหาที่วางแทบไม่ได้ แถมด้วยกล่องใส่แว่นตา ที่ผมโปรดปรานเอาไว้วางแว่นกันแดดอีก ถือว่าโดนใจไปเต็มๆ กับภายในของเจ้า Sonic คันนี้
ด้านมุมมองวิสัยทัศน์นั้น เท่าที่เห็นจะเป็นอุปสรรคในการมองมีอยู่ 2 จุดใหญ่ๆ สำหรับจุดแรกนั้นคือ มุมอับจากทางกระจกมองข้างที่เป็นทรงรีและมีปลายเรียวแหลมลาดลง มันดูให้ความสวยงาม แต่ก็ทำให้เกิดมุมอับทางด้านบนนอกด้วย ซึ่งเวลาจะเปลี่ยนเลนนั้นต้องมองดีๆ เพราะถ้ารถมาเร็วจะมองไม่เห็น และอีกจุดที่กระจกมองหลัง กับขนาดที่ให้มาค่อนข้างเล็ก แต่เน้นดีไซน์อันสวยงาม บานนี้ก็เช่นเดียวกัน มันทำให้มุมมองด้านข้างทั้ง 2 ด้านหายไป เนื่องจากมุมภาพที่เห็นนั้นค่อนข้างแคบ เวลาจะมองรถหลังก็ต้องมองให้ดี ทางที่ดีหันมองกระจกข้างช่วยด้วย จะช่วยเก็บมุมภาพด้านข้างที่หายไป นอกนั้นก็จะเป็นเหมือนรถยนต์ Sedan 4 ประตู ทั่วไป คือเสา A B C จะบังเล็กน้อยเวลากลับรถ หรือมีเลนสวนมา
สำหรับสมรรถนะของเครื่องยนต์ Ecotec 1.4 ลิตร DOHC ที่ถูกประจำการอยู่ภายใต้ห้องเครื่องคันนี้ ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า @ 6000 rpm และแรงบิดสูงสุดที่ 130Nm@4000rpm การตอบสนองของคันเร่งนั้นแข็งและออกตัวได้เชื่องช้ายิ่งกว่ารถ Ecocar หลายค่ายเสียอีก ซึ่งสำหรับตัวผมเป็นคนที่ลงน้ำหนักกับคันเร่งไม่เยอะแล้วนั้น ทำเอาเวลาที่จอดหยุดและจะออกตัวอืดเฉื่อยตลอด จนโดนรถคันอื่นเสียบแทรกเข้ามา สร้างความรำคาญใจเป็นอย่างมาก จึงต้องทำการลงน้ำหนักเท้าเพิ่มเข้าไปอีกเยอะ ถึงจะออกตัวได้อย่างรถปกติทั่วๆไป สำหรับการทดสอบอัตราเร่งช่วง 80-120กม./ชม. โดยกระแทกคันเร่งจมมิดเท้า รอบเครื่องตัดขึ้นที่เกียร์ 4 ราว 6500rpm และเกียร์ 5 ที่ราว 6200rpm ทำเวลาได้ 12.28 วินาที ถือเป็นรถที่ทำอัตราเร่งได้แย่ที่สุดตั้งแต่ที่ได้ทำการทดสอบ อาจเป็นเพราะสาเหตุจากตัวถังรถที่ค่อนข้างหนักกว่ารถ B-car ด้วยกัน แต่เครื่องยนต์นั้นกลับเป็นบล็อกเล็กสุด จึงทำให้ตัวเลขออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ต่อไปมาลองดู Top Speed กันบ้าง ที่ตำแหน่งเกียร์ D ทำได้สูงสุด 159กม./ชม. โดยการดูดตามหลังรถคันหน้าเพื่อลดแรงต้านของลม ถ้าไม่ได้ดูดตามหลังรถคันหน้าจะทำได้ที่ 156กม./ชม. ความเร็วจะไม่ไต่ขึ้นต่อ เมื่อลองปรับมาที่เกียร์ M และลองลาก เกียร์ 5 ไปที่ความเร็วราว 160กม./ชม. แล้วค่อย กด + Shift Up ขึ้นเกียร์ 6 ความเร็วไหลต่อไปได้ที่ 167กม./ชม. แต่ถนนหมดเสียแล้วเป็นที่น่าเสียดาย เพราะถ้าไม่มีรถคันหน้าขวาง น่าจะไปได้อีก สัก 170กม./ชม. นิดหน่อย
ด้านความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ได้วัดที่ 4 ค่า ดังนี้ 80กม./ชม.=2000rpm 100กม./ชม.=2500rpm 120กม./ชม.=3000rpm 140กม./ชม.=3500rpm ถือว่ามีอัตราการทดเกียร์ที่ค่อนข้างสูงพอสมควรเลย กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 speed มาพร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ (Toggle Switch) ลูกนี้ มาพร้อมกับโหมด M ซึ่งให้คุณสามารถเปลี่ยนเกียร์ เพียงใช้แค่ปลายนิ้วโป้ง ไม่ต้องเสียเวลาโยกขึ้นลงที่คันเกียร์ เหมือนรถหลายๆ รุ่นให้เสียเวลาเมื่อยมือกันเปล่าๆ จากการที่ได้ลองเล่นปุ่ม Toggle Switch นี้ รู้สึกว่าจังหวะเปลี่ยนเกียร์นั้น ยังไม่นุ่มนวลเท่าพวกเกียร์ CVT นัก และการเปลี่ยนเกียร์นั้นยังค่อนข้างช้าอยู่ ซึ่งถ้าคุณต้องการที่จะขับเร่งแซงรถคันข้างหน้านั้น ใช้การ Kick down น่าจะใช้ได้สะดวกกว่าการที่จะมาโยกเกียร์ลงมาตำแหน่ง M แล้วกดปุ่ม – ลง แต่ถ้าคุณใช้ในการขับรถแบบมุดไปมาตามช่องแล้วล่ะก็ การใช้โหมด M ควบคู่กับปุ่ม Toggle Switch นี้ ถือว่าทำได้มันส์ทีเดียว ในจังหวะที่คุณชะลอ หาจังหวะมุดกด – Shift down ลงมา แล้วพอมุดแซงได้ กระแทกเดินคันเร่งต่อ แล้ว + Shift up ขึ้น ให้ความรู้สึกกระชากนิดๆ อารมณ์แบบ Sport มาหน่อยๆ ถือว่าขับได้ค่อนข้างสนุก แต่ที่แปลกคือ อัตราการทดเกียร์ของ ทั้งโหมด D และ M นั้น ให้มาเท่ากันเลย ถ้าในโหมด M เซ็ตอัตราทดมาให้จัดกว่านี้ น่าจะขับสนุกได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงได้บอกไปว่าถ้า คิดแค่จะเร่งแซง กด Kick down ไปได้เลยไม่มีความจำเป็นต้องโยกมา M แต่ถ้าต้องการขับลากรอบตามใจ และ ใช้ E-brake ร่วมด้วยแล้วล่ะก็คุณควรที่จะเลือกเล่นในโหมด M ที่เปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายดาย เพียงแค่ปลายนิ้ว
ระบบเบรก หน้าดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน หลังเป็นแบบดรัม คันนี้ให้ความหนึบดีทีเดียว ฟีลลิ่งแรงเบรคให้ความหนักแน่นไม่น้อยหน้ารถ B-car คันอื่นๆที่เครื่องใหญ่กว่า ถือว่าทำได้ดีในลำดับต้นๆในกลุ่มเดียวกัน แต่ความรู้สึกที่ได้นั้นสำหรับผมยังถือว่าเบรกนั้นยังไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร เนื่องด้วยการเซ็ตเบรกมาค่อนข้างตื้นมาก ทำเอาผมเบรกหัวทิ่มไปหลายรอบ กะน้ำหนักเท้าไม่ถูกเสียที อาจเพราะยังไม่ชิน แตะนิดเดียวก็หน้าทิ่มตลอด เล่นเอาเบรกทีหัวทิ่มกันตลอดทางที่ขับออกจากตึกรสา ต้องใช้เวลาพอสมควรกับการปรับเท้าให้ชิน สำหรับหลายคนที่ขับชินกับเบรกที่เซ็ตตื้นแบบนี้ อาจเบรกอยู่ได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่ต้องมารอชนชินเท้า
ด้าน Handling ของพวงมาลัยเพาเวอร์แร็คแอนด์พีเนี่ยน 3 ก้านพวงนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้ผ่อนแรงเอาเสียเลย สาวๆคงจะไม่ประทับใจกับเจ้าพวงมาลัยวงนี้สักเท่าใดนัก เพราะในช่วงออกตัว แค่ขับวนออกจากอาคารจอด ตั้งแต่ชั้น 10 เล่นเอาเกือบเมื่อยเหมือนกัน ในจังหวะเลี้ยวลงสาวกันพัลวัน ตั้งแต่ที่ได้ขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆมา รู้สึกว่าเจ้า Sonic นี้เป็นรถที่มีน้ำหนักของพวงมาลัยมากที่สุดในขณะออกตัว แต่เมื่อขับออกตัวไปสักพักน้ำหนักพวงมาลัยนั้นเริ่มเข้าที่เข้าทางกำลังดี ไม่ได้รู้สึกหนักหรือเบาจนเกินไป และที่ความเร็วสูง ระยะฟรีของพวงมาลัยก็มีไม่มากนัก ใช้ในการหักเลี้ยวเปลี่ยนเลนได้อย่างพอดีเหมาะสม ถือว่าเป็นพวงมาลัยที่ตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดีทีเดียว
ช่วงล่าง Euro Ride ที่ด้านหน้าเป็นแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีมตัว V คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ให้ชื่อซะยาวเหยียดขนาดนี้ มาดูกันว่าจะให้ความหนึบและนุ่มนวลสมชื่อหรือไม่ จากการที่ขับขี่แบบปกติเปิดเพลงฟังเรื่อยๆ เพลินๆ หันไปมองไมล์อีกที โอว! 130km/hr แล้วหรอเนี่ย ช่วงล่างค่อนข้างทำได้แน่นดีจริงๆ การเก็บเสียงก็ค่อนข้างดี จึงทำให้ไม่รู้สึกเลยว่าความเร็วปาไปเท่าใดแล้ว ต่อไปมาเริ่มต้นลองกันกับการทดสอบความนุ่มนวลก่อน โดยการตะกายผ่านทางรถไฟ แบบไม่หย่อนเบรค พุ่งเข้าใส่ที่ความเร็วราวๆ 25km/h รถกระแทรกตามแรงที่พุ่งเข้ามา แต่การดูดซับแรงของช่วงล่างนั้น ทำได้ดีกว่าที่คิดมากๆ คือ ไม่ได้รู้สึกยวบยาบ ระยะยุบตัวของโช้คไม่ได้มาก กระแทกลงตรงๆอย่างแรงๆ แต่กลับให้ความนุ่มนวลเกินคาด ด้วยช่วงล่างกับล้อขอบ 16” แก้มยางซีรีส์ 55 นี้มันดูดซับแรงได้อย่างยอดเยี่ยม และบททดสอบความหนึบโดยการเข้าโค้ง ณ สะพานกลับรถก้นหอย ที่ความเร็วราวๆ 70กม./ชม. โดยไม่มีการแตะเบรก ทำให้เกิดเสียงยางบดถนนดังเอี๊ยด เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ฟีลลิ่งที่ได้นั้นให้ความหนึบแน่นของช่วงล่างได้ดี ตัวรถไม่มีโคลงเคลง แต่ความรู้สึกทางด้านหน้ารถ โดยส่วนตัวรู้สึกว่า หน้ายังไม่จิกกับโค้งมากเท่าไรนัก รถจะบานออกเป็นอาการ Understeer อยู่หน่อย แต่รู้สึกเหมือนล้อจะลื่นไถลมากไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะยางติดรถนั้นไม่ใช่ยางที่ดีมาก
สรุป All New Chevrolet Sonic ดูเหมือนจะเป็นรถ Sub-Compact ที่ทาง Chevrolet ดึงสรรพคุณต่างๆ ของเจ้า Cruze มาลง ทั้งการดีไซน์ภายใน, เครื่องยนต์ Eco จาก Cruze ตัวนอก, รวมถึงช่วงล่างที่แน่นยึดเกาะและดูดซับแรงเป็นเยี่ยม ถือเป็นรถ Sub-Compact ที่น่าสนใจมากที่สุดรุ่นหนึ่งในบ้านเราเลย เสียอย่างเดียวในส่วนของเครื่องยนต์ ที่น่าจะเป็นเครื่องขนาด 1.5 ลิตร หรือ 1.6 ลิตร ไปเลย น่าจะให้การตอบสนองต่อการขับได้อย่างดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ขับสนุกที่สุดคันหนึ่งอย่างแน่นอน กับราคานี้ที่คุณจะมีสิทธิได้รับคืนเงินภาษี 100,000 บาท ถือว่าไม่แพงเกินกับสิ่งที่ได้รับทั้งสมรรถนะช่วงล่าง, การตกแต่งภายใน ความสบายและความสวยงาม ใครที่สนใจรถในระดับ Sub-Compact ต้องขอบอกเลยว่า ควรจะไปลองขับด้วยเจ้า Sonic เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจ
Chevrolet Sonic มาพร้อมกับสีที่มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ ขาว Summit White, บรอนซ์เงิน Switchblade Silver, เทา Royal Gray, ดำ Black Sapphire, น้ำเงิน Oceanic Blue
สำหรับราคา มีทั้งหมด 8 รุ่นดังนี้
Sonic รุ่น NB 1.4 MT LS ราคา 548,000 บาท
Sonic รุ่น NB 1.4 AT LS ราคา 578,000 บาท
Sonic รุ่น NB 1.4 MT LT ราคา 588,000 บาท
Sonic รุ่น NB 1.4 AT LT ราคา 615,000 บาท
Sonic รุ่น NB 1.4 AT LTZ ราคา 679,000 บาท
Sonic รุ่น HB 1.4 MT LT ราคา 601,000 บาท
Sonic รุ่น HB 1.4 AT LT ราคา 632,000 บาท
Sonic รุ่น HB 1.4 AT LT ราคา 687,000 บาท
ภณ เพียรทนงกิจ (พล autospinn) ผู้เขียน
ความคิดเห็น