รีวิว สปอร์ตซีดานหรู 340 ม้า 2013 BMW Active Hybrid 3 Evo, Sti เจอมีหนาว มันจะแรง และประหยัด สมรรถนะดีพอคุ้มค่าราคา หรือไม่
BMW Active Hybrid 3 2013 รีวิว
ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเจ้า BMW Active Hybrid 3 2013 คันสีน้ำเงิน สวมชุดแต่ง M Sport รู้สึกเหมือนโดนอะไรเตะเข้าที่ตาแบบเต็มๆ ซึ่งทำให้ผมต้องละสายตา จาก BMW HP4 ซึ่งถือเป็น Superbike เครื่องยนต์ 4 สูบที่ผมชอบมากที่สุด ราวกับต้องมนต์สะกด
และพอได้ฟังคำบรรยาย เกี่ยวกับตัวเลขสมรรถนะแล้ว ทำให้ผมร้อง (ในใจ) ว่า เหย ! BMW ทำรถ Hybrid ในรูปแบบที่ตูอยากได้เลย นี่ล่ะ Hybrid ในฝัน รถยนต์ Hybrid ที่ไม่ได้มีความเชื่องช้า เหมือน Hybrid ทั่วๆไปที่ผมเคยขับ (ยกเว้นอยู่คันหนึ่ง Honda CR-Z ไม่ถึงกับแรงมากแต่คล่องตัวขับสนุกใช้ได้)
แต่ด้วยความที่มันเป็นรถนำเข้ามาทั้งคัน จากประเทศแม่ เยอรมัน จึงทำให้ค่าตัว มันโดดไป ไกล กว่า BMW Z4 สปอร์ตโรดสเตอร์ เสียอีก
ณ ตอนนี้ Active Hybrid 3 ถือเป็น BMW ตัวถัง F30 ที่กลายเป็น รุ่นสูงสุดไปโดยปริยาย และ ค่าตัว ของมันอยู่ที่ 4.199 ล้านบาท สำหรับรุ่น Standard และคันนี้ที่เพิ่มออปชั่นแต่ง M sport 4.399 ล้านบาท แค่นั้นยังไม่พอ ถ้าต้องการ ล้ออัลลอย 19” และช่วงล่าง M แบบปรับตั้งได้ อัพราคาอีก 1 แสน เป็น 4.499 ล้านบาท
เอ้า แล้วมันจะแรง และประหยัด สมรรถนะดีพอคุ้มค่าราคาหรือไม่ มาอ่านกันต่อเลย
ในการทดสอบครั้งนี้ ขอขอบคุณ BMW ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ BMW Active Hybrid 3 แต่ง M Sport สีน้ำเงิน Estoril Blue II คันงาม คันนี้
รูปลักษณ์ ภายนอก BMW Active Hybrid 3 2013
สำหรับ BMW Active Hybrid 3 ที่จริงมัน คือ BMW 3-Series ตัวถัง Sedan F30 ที่มีแบ่ง Line ออกเป็น 3 Line เหมือนในรุ่นพื้นฐาน นั่นเอง ทำให้มิติตัวถังนั้นเท่ากัน ต่างกันเพียงระยะฐานล้อจากล้อลัลลอยที่มีขนาดต่างกัน แต่มีน้ำหนักตัวหนักเอาเรื่อง 1,730 กก. หนักกว่ารุ่น 320i ถึง 235 กก.
นอกจากนั้นรายละเอียดภายนอกอื่นๆ ที่เห็นชัดคือ ท่อไอเสียคู่ ซึ่งทำให้มันดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ร่วมกับเพลท Active Hybrid 3 ที่แปะอยู่ด้านข้างตัวรถ บริเวณเสา C ทั้ง 2 ฝั่ง ร่วมกับฝากระโปรงท้าย
แต่สำหรับคันนี้ ที่สวมชุดแต่ง M Sport รอบคัน ทั้งกันชนหน้า, สเกิร์ตข้าง และเปลี่ยนบั้นท้าย และสวมล้ออัลลอยขอบ 18” จาก M Sport ลาย Star-Spoke 400 M ดุดันขึ้นกว่าเดิม หุ้มยาง Runflat จาก Goodyear Efficientgrip ขนาด 225/45/18 ทำให้มันดูโดดเด่น ดุดันกว่า F30 ปกติอย่างเห็นได้ชัด
มิหนำซ้ำ สีน้ำเงิน Estoril Blue II คันนี้ก็เตะตาใครหลายคน เข้ามากกว่า สีดำ หรือ ขาว ที่ส่วนใหญ่จะพบกัน
นอกจากนั้นออปชั่นต่างๆ ยังคงมีเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Keyless ที่ไม่ต้องควักกุญแจออกมาเพียงแค่คุณเอื้อมมือไปจับที่มือเปิดประตู ประตูก็จะปลดล๊อกให้อัตโนมัติ
ในกรณีต้องการล๊อกรถ ก็ทำเช่นกัน เพียง เอานิ้วไปสัมผัสที่ขอบมือจับประตูด้านบน เมื่อเวลากลางคืน เปิดประตูออกไม่ว่าจะบานใด จะมีไฟส่องพื้นสว่างขึ้น หลังจากเปิดประตูเข้ามา
และระบบเปิดฝากระโปรงท้าย ด้วยเซ็นเซอร์ โดยการยื่นเท้าเข้าไป ด้านใต้รถยังมีเหมือนเดิม แถมยังหาเซ็นเซอร์ยาก เช่นเดิม กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัวแบบ LED เมื่อเวลาพับ หูกระจกจะพับขึ้น
ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ทั้งสูงและต่ำ ปรับระดับได้อัตโนมัติ ตามน้ำหนัก พร้อมกับระบบฉีดล้างไฟหน้า ไฟวงแหวนเสริมความหล่อที่อยู่ด้านในโคมเป็นหลอดแบบ LED ทำหน้าที่เป็นไฟ DRL ในเวลากลางวัน
ทางด้านพื้นที่ห้องโดยสารตอนหลัง ที่ถูกแย่งพื้นที่ไปกับการจัดเก็บแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไฟฟ้าหายไป 70 ลิตร เหลือ 390 ลิตรไว้ให้เก็บของ
ห้องโดยสารภายใน
เริ่มตั้งแต่ที่ได้รับกุญแจ จะรู้สึกได้ว่ามีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกัน กับตัว 3 Series พื้นฐาน แต่จะมีปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศเพิ่มเข้ามา ซึ่งจะทำงานลักษณะคล้ายกับ Toyota Prius คือ สามารถเปิดแอร์ ได้ ก่อนที่จะเดินมาถึงรถ (กรณีที่มีแบตเตอรี่ เหลือเพียงพอ)
เดินมาถึงรถ และเปิดประตูด้วยระบบ Keyless จะพบภายในโทนสีดำ บริเวณคอนโซลกลางตกแต่งด้วย Trim สีเงิน ดูให้ ฟีลสปอร์ต ซึ่งไม่ได้ตกแต่งแบบหรู
ในส่วนของเบาะถูกหุ้มด้วยหนัง Dakota ที่มีปีกโอบด้านข้างที่ดูให้ความกระชับพอตัว แต่ไม่ถึงขั้นอึดอัดนัก ยังพอนั่งได้สบายอยู่ (นั่งสบายกว่า 320i Luxury ที่เบาะดูแบนและแข็ง) เบาะสามารถปรับช่วงปีก ให้กระชับขึ้นได้ ในคู่หน้า ด้านฝั่งคนขับมี Memory Seat 2
แต่สำหรับการเข้าออกจากตัวรถ ด้วยตำแหน่งของเบาะที่ดูต่ำ กับความเตี้ยของตัวรถ จึงอาจทำให้การเข้าออกจะต้องก้มมากเสียหน่อย สำหรับคนตัวสูง (สำหรับผมซึ่งสูง 174 ซม. ก็ต้องก้มมากพอสมควร) และมีพื้นที่ Headroom ไม่เยอะนัก
สำหรับ Gadget ของเล่น ภายในยัง มีเช่นเดิมเหมือนกับตัวพื้นฐาน
- จอแสดงผลแบบ Free Standing ขนาด 8.8” ซึ่งเป็น Infotainment มีทั้งระบบนำทาง, ระบบ BMW Connected Drive ซึ่งให้คุณเข้า Application Facebook, Twitter รวมถึงการเข้าถึงอีเมล ซึ่งสามารถเชื่อมต่อผ่าน Gadget ของ Apple อย่าง iPhone และ iPod
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth จนถึงระบบ Voice Command ที่ชาญฉลาด แต่ดูจะทำงานช้าไปสักหน่อย และสำเนียงเสียงต้องให้ได้ดีด้วย ซึ่งจะมีปุ่ม iDrive เอาไว้ควบคุมระบบเหล่านี้ อยู่ตรงบริเวณข้างเป้นเกียร์ไฟฟ้า ที่โชว์ตัวหนังสือบ่งบอกความแรงว่า Active Hybrid 3 ถัดมาเป็นปุ่ม ปรับโหมดการขับ ทั้ง Eco Pro และ Sport โดยมีปุ่มปิด Traction Control กับปุ่มปิด Parking Sensor อยู่ใกล้ๆกัน
- ระบบเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติปรับอุณหภูมิแยกฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารได้
มาที่พวงมาลัย ซึ่งในคันนี้ตกแต่งด้วย M Sport จะใช้พวงมาลัย สามก้าน หุ้มหนังแบบหนานุ่มมือมาก ดูจะจับไม่ค่อยกระชับนัก เพราะหนามากเกินไป กับคนที่มือเล็กไม่ได้ใหญ่มาก บนพวงมาลัยมีปุ่ม Multifunction, Cruise Control, Voice Command, รับสายโทรศัพท์ รวมถึงปุ่มควบคุมจอ MID บนหน้าปัด
ด้านหลังพวงมาลัยมีก้าน Paddle Shift มาให้เล่น บริเวณก้านปัดน้ำฝนมี ระบบ Auto Rain Sensor และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติฝังอยู่ทางด้านขวาของพวงมาลัย
สำหรับทางด้านซ้ายพวงมาลัย มีปุ่ม Start เครื่องยนต์ ซึ่งจะไม่มีปุ่มปิด Auto Start/Stop อีกต่อไป เพราะคันนี้เป็นระบบ Full Hybrid
สำหรับผู้โดยสารตอนหลังยังคงได้รับความสะดวกสบายจากแอร์ตอนหลัง และม่านไฟฟ้าสำหรับบังแดด ในขณะที่ผู้ขับขี่ยังสบายตา จากกระจกมองข้าง และกระจกมองหลังต่างเป็นแบบลดแสงสะท้อน
ขุมพลังเครื่องยนต์ BMW Active Hybrid 3 2013
BMW Active Hybrid ทุกรุ่น ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์พื้นฐานจากตัวที่ได้รับรางวัล Engine of The Year 2 ปีซ้อน (2011 และ 2012) ในกลุ่มเครื่องยนต์ ขนาด 2.5 ลิตร – 3 ลิตร
เครื่องยนต์ BMW Twin Power Turbo 6 สูบเรียง ความจุ 2,979cc พร้อมระบบ Valvetronic กำลังสูงสุด (225kw) 306 แรงม้า @ 6,000rpm และ แรงบิด 400 Nm @ 1,200-5,000rpm ซึ่งมันคือเครื่องของตัวแรงสุด 335i ที่มีขายในต่างประเทศ (บ้านเราแรงสุด 328i) จับรวมพลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้กำลังสุทธิ (250kw) 340 แรงม้า และแรงบิด 450 Nm ซึ่งมีพละกำลังแรงกว่า Evo X, WRX Sti, 370Z หรือแม้กระทั่ง Porsche Cayman S
หลักการทำงานของระบบ Hybrid ของเครื่องยนต์ Active Hybrid คันนี้ก็จะเป็นเหมือน Full Hybrid โดยทั่วๆ ไป ที่มีความชาญฉลาดสูง
การขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว สามารถทำงานได้ไม่ยาก เหมือนกับ Hybrid คันอื่นให้บ้านเรา ที่ขับให้เข้าโหมด EV (มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานอย่างเดียว) ได้ยากเหลือเกิน แต่ไม่ใช่กับคันนี้ เพียงขับที่ความเร็วคงที่ไม่ได้เร่งเครื่อง ใช้ความเร็วราว 60 กม./ชม. และประจุแบตเตอรี่มอเตอร์ไฟฟ้าต้องมีเพียงพอ ก็สามารถขับด้วยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้อย่างไม่ยากเย็น และสามารถวิ่งได้ไกลสุด ถึง 4 กม. ตามเคลม
เมื่อเรากดปุ่ม Start Engine ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดขึ้น เพราะนั่นรถสตาร์ทแล้ว จากแบตเตอรี่ Li-ion ที่มีประจุเหลืออยู่เพียงพอ และเมื่อออกตัวไป และเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์จะติดขึ้นเอง เมื่อต้องการใช้กำลังของเครื่องยนต์ หรือเมื่อแบตเตอรี่มอเตอร์ไฟฟ้า มีประจุเหลือต่ำแล้ว
ในจังหวะยกคันเร่งออก นั่นเป็นช่วงชาร์จประจุกลับเข้าแบต ช่วงนี้จะรู้สึกเครื่องโดนหน่วงกำลังลง เหมือนมี E-Brake มาหน่วงรั้งเอาไว้
และเมื่อเหยียบคันเร่งลึก แบบต้องการเรียกพละกำลัง ทั้งขุมพลังจากสองส่วนจะส่งถ่ายกำลังที่มีออกมา เพื่อเรียกสมรรถนะในการเร่งแซงได้อย่างยอดเยี่ยม
พอเมื่อเราจอดรถหยุดนิ่ง Auto Stop ก็จะทำงานเอง เครื่องยนต์ดับลงอัตโนมัติเพื่อประหยัดน้ำมัน แต่จะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาคุมคอมเพรสเซอร์แอร์ให้ยังคงมีความเย็นอยู่ ต่อเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยลง เครื่องยนต์ก็จะติดกลับมาใหม่อีกครั้ง
โหมดการขับขี่
มาพูดถึงโหมดการขับขี่กันบ้าง ไม่ว่าเราจะดับเครื่องยนต์ด้วยโหมดใดก็แล้วแต่ เมื่อกลับมาสตาร์เครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง จะกลับสู่โหมด Comfort โดยปกติ เมื่อกดปุ่ม Eco Pro เครื่องยนต์จะลดการทำงานลง และตอบสนองช้าลงด้วย รวมถึงลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศลงอีก ซึ่งเป็นจุดที่ผมไม่ชอบ กับอากาศบ้านเมืองเรา ผมจึงไม่ค่อยได้ใช้โหมด Eco Pro มันสักเท่าไร ถึงแม้มันจะประหยัด และดูจะให้ความเป็นมิตรกับคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยขับรถแรงมาก่อนก็ตาม
แต่เมื่อกดปุ่ม Sport และเมื่อกดอีกครั้ง จะเข้าสู่ Sport + ซึ่งจะแตกต่างจาก Sport ปกติ เพียงปิดระบบ Traction Control ออก จะสังเกตได้ทันที ว่ารอบเครื่องมีมารอให้ใช้งานแต่เนิ่นๆ แล้ว เพื่อเอาไว้เรียกกำลังตอนเร่งแซงได้อย่างเต็มที่
ลิ้นคันเร่งเปิดออกหมด ไม่ได้เปิดแบบหรี่ๆ เหมือน Eco Pro การตอบสนองรวดเร็วฉับไว ซึ่งแตกต่างจากการ Kickdown ในโหมด D ที่จะมีจังหวะ Lag อยู่ และเมื่อเราเปิดโหมด Sport หรือ Sport + ถ้าสังเกตดีๆ ช่วงล่างจะเฟิร์มขึ้นอีกนิดหนึ่ง พวงมาลัยไวขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ได้อรรถรสในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ที่จริงแล้ว การขับขี่แบบทั่วๆ ไปบนท้องถนน เพียงแค่โหมด Comfort ขับด้วยเกียร์ D เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้เราได้รับสมรรถนะเหลือๆ จากการใช้งานแล้ว (ถ้าไม่ได้เอาไปไล่กับรถ แต่งที่แรงระดับ 300 ม้าขึ้นไป) การกระแทกคันเร่งจนมิด สามารถทำให้หลังกระชากได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งถ้ามีผู้โดยสารนั่งอยู่ด้วย และกระแทกคันเร่งมิด โดยไม่บอกกล่าวกันก่อน มีสิทธิโดนด่าได้ เพราะเหยียบกระแทกคันเร่งเพลินๆ เพียงไม่กี่อึดใจเข็มกวาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอบเครื่องลากยาวไปจนถึง 7,000rpm ก่อนขึ้นเกียร์ใหม่ เหยียบไปเพลินๆ หันมามองหน้าปัดอีกที โอว! 220 กม./ชม. เข้าไปแล้ว จึงรีบยกคันเร่งก่อน กลัวจะเพลินจนเกินเลย
ด้านตัวเลขเคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 5.3 วินาทีเท่านั้น กับ Top Speed ล็อคไว้ที่ 250 กม./ชม. โอว ตัวเลขแบบนี้น่าตกใจ เพราะช้ากว่า M3 ไม่ถึงวินาที อั้ยยะ! วัดจริงจากเราจะเป็นได้ดีเท่านี้ไหม มาดูกัน
ลองทดสอบสมรรถนะ จาก OBD Bluetooth อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 5.66 วินาที ¼ ไมล์ ใน 13.79 วินาที ในส่วน Top Speed เราไม่ได้ทำการทดสอบเนื่องจากตามสเป็ก Speed Limit ที่ 250 กม./ชม. ซึ่งดูจากกำลังเครื่องแล้ว น่าจะไปถึง Speed Limit ได้แน่นอน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำทดสอบ
และที่สำคัญ เบรกไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอที่จะฉุดพละกำลังของเครื่องเราจึงไม่เสี่ยงที่จะทดลอง ซึ่งในการทดสอบนี้นั่ง 3 คน ออกตัวโดยใช้ โหมด Sport ถ้าหากนั่งขับเพียงคนเดียว ปิดแอร์ และวัดอัตราเร่งจากเข็มบนหน้าปัด มีความเป็นไปได้ที่จะทำตัวเลขเข้าใกล้ ตามเคลมจากโรงงานได้มากกว่านี้อีก
ด้านตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง ตามเคลม มาตรฐาน EU เฉลี่ยที่ 16.9 กม./ลิตร และปล่อยไอเสีย CO2 เพียง 139 กรัม/กม. เท่านั้น
สำหรับการขับขี่เดินทางไกลของเรา โดยใช้ความเร็ว 100 กม./ชม. มีเร่งแซงบ้างเป็นครั้งคราว ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 15 กม./ชม. ทำดีใช้ได้ อยู่ในระดับ B-Segment ที่รถมีความแรงน้อยกว่าถึง 3 เท่าด้วยกัน
ระบบส่งกำลัง
เกียร์อัตโนมัติ 8 Speed จาก ZF Friedrichshafen ซึ่งเป็นคันเกียร์แบบไฟฟ้า (E-Gear) ซึ่งเปนเกียร์ลูกเดียวกับที่พบใน 3-Series F30 ที่มีในบ้านเราคันอื่นๆ มาพร้อมโหมด M ให้ + - ได้ที่คันเกียร์โดยการดันคันเกียร์ออกไปทาง ซ้าย หรือเลือกที่จะเปลี่ยนเกียร์จาก Paddle Shift ก็ได้
ด้านการขึ้นเกียร์ยังทำได้ไว ต่อเนื่อง เนียนไร้ที่ติดเช่นเดิม ทำให้รู้สึกได้ถึงการถ่ายทอดอัตราเร่งที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม ไร้รอยต่อของเกียร์ ในจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งนั่นทำให้การขึ้นเกียร์เวลา Shift Time (ช่วงเวลาในการเปลี่ยนเกียร์) ทำได้สั้นไม่แพ้พวก Dual Clutch นัก
เมื่อขับขี่แบบเดินคันเร่งเนียนๆ ค่อยๆไป ไม่เร่งแบบพรวดราด โหมด Eco จะขึ้นเกียร์ที่รอบก่อน 1,500rpm ในขณะที่ Comfort จะขึ้นที่รอบก่อน 2,000rpm ในการขับขี่แบบเดียวกัน
และเมื่อคุณกระแทกคันเร่งจมมิด ไม่ว่าจะ Comfort หรือ Sport mode ก็ตาม นั่งทำให้หลังคุณติดเบาะ และสัมผัสได้ถึงแรง G force ในระดับรถแต่งญี่ปุ่น ระดับ 300 ม้าได้ไม่ยาก เข็มกวาดขึ้นอย่างรวดเร็วไปจนถึงที่รอบเครื่อง 7,000rpm และเข็มจึงตกมาและไต่ขึ้นไปใหม่ ซึ่งนั่นทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่น่าเปลกใจที่เราจะให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเลข 5 วิ
ลองวัดความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ 3 ค่าได้ดังนี้
- 80 กม./ชม. =1,200rpm
- 100 กม./ชม. =1,550rpm
- 120 กม./ชม. =1,800rpm
ชัดเจนที่ความเร็วดังกล่าว ทั้งหมดใช้รอบเครื่องต่ำกว่า 320i ทั้งสิ้นเป็นผลมาจากการเซ็ตอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ช่วยให้ความประหยัดออกมาได้อย่างน่าประทับใจ
ระบบบังคับเลี้ยว
พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS หุ้มหนัง สามก้านจาก M Sport ให้ความรู้สึกที่กระชับมือพอประมาณ บริเวณหนังหุ้มขนาดหนา แต่การที่มันดูอ้วนเต็มไม้เต็มมือนี้อาจทำให้คนที่มีขนาดมือไม่ใหญ่มากนัก จะจับไม่ถนัดไปสักหน่อย เฉกเช่นมือผมที่เวลาหักเลี้ยวดูจะจับไม่ได้ Grip กับฝ่ามือนัก
ในช่วงออกตัว หรือสาวจอด จะพบว่ามีความหนืดมืออยู่พอสมควร แต่น้ำหนักนั้นไม่ถึงกับหนักมือมากนัก ในการหมุนวงเลี้ยวแบบ 360 องศา ก็ไม่ได้ยากเย็นนักจากการผ่อนแรงของไฟฟ้า ที่ช่วยทำให้การหมุนเป็นไปอย่างง่ายดาย (แต่หนักกว่า 320i เนื่องจากขนาดของล้อ)
การตอบสนองที่ความเร็วต่ำถึงช่วงความเร็วกลาง ถือว่ามีน้ำหนักในเกณฑ์ดี แต่ที่บอกไปว่ามีความหนืดพอตัว มันจึงไม่ได้ฉับไวคมต่อการเล่นโค้งมากมายเหมือนรถสปอร์ตคันอื่นๆ นัก
ระยะฟรีที่มีไม่มาก ก็ยังช่วยให้ที่ความเร็วสูงมีความมั่นคงดีกว่า 320i ที่รู้สึกว่าน้ำหนักพวงมาลัยจะเบามือลงจนต้องเรียกได้ว่าเบาเกินไป
ระบบห้ามล้อ
เบรกดิสก์ 4 ล้อ คู่หน้าจานขนาด 340mm. คู่หลังจานขนาด 330mm. มีช่องระบายความร้อนให้ทั้ง 4 ล้อ ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะคู่หน้า นั่นฟังดูเหมือนประสิทธิภาพน่าจะดี จากขนาดจานใหญ่ใช่เล่น และการระบายความร้อนดี มีอุณหภูมิที่ไม่สูง
ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานในตัวเมือง ที่รถติดค่อยๆ เคลื่อนตัว เบรกทำหน้าที่ดี ไม่มีปัญหา ทำได้นุ่มนวลเสียด้วย จากแป้นเบรกที่ต้องลงลึกกันสักหน่อย ตามสไตล์การเซ็ตแป้นเพื่อเน้นความนุ่มนวล ไม่เบรกหัวทิ่ม มันจึงผ่านกับการขับขี่ในเมืองที่มีรถติด ใช้ความเร็วไม่มาก
แต่ทว่าหากวิ่งที่ความเร็วแบบการเดินทางไกล การที่เหยียบเบรกเพื่อหน่วงความเร็วกลับรู้สึกว่าแป้นเบรกตอบสนองได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น และนั่นยิ่งส่งผลมากกับการขับที่ความเร็วสูง ดูจะไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยกับเจ้ารถหัวใจ Hybrid ตัวแรงคันนี้ เหมือนกับว่าขนาดของจานเบรกไม่เพียงพอกับความแรงที่จะฉุดหน่วงม้าทั้ง 340 ตัวลงได้ยังไงยังงั้น
เบรกลงแล้ว Fade ไปเลย อาจต้องย้ำ หรือลงน้ำหนักลึกมาก ซึ่งเท่าที่เราดูจากไมล์ พบว่ารถทดสอบตอนนี้ไมล์อยู่ที่ประมาณ 10,000 โลกว่าๆ ซึ่งอาการเบรกแบบนี้น่าจะพบกับรถอย่างน้อย 20,000 กม.ขึ้นไป ที่เตรียมใกล้ได้เวลาเปลี่ยนเบรกกันแล้ว (อาจเป็นไปได้ที่นักข่าวที่ยืมรถก่อนหน้าเราไปนี้ ขับเพลินกับสมรรถนะความแรงจนเบรกกันซะไม่เหลือชิ้นดีจนมาถึงมือเรา) เอาเป็นว่าเบรกให้ไม่ผ่าน สำหรับการขับขี่ที่ต้องใช้ความเร็ว
แต่กลับให้เบรกแบบ floating caliper 1 ลูกสูบ ธรรมดาแต่เน้นจานขนาดใหญ่ ซึ่งก็ไม่มีความสวยงามเอาเสียเลย รถสมรรถนะระดับนี้ ก็ควรให้เบรก Hi-performance ด้วย
แบบ Monobloc 4 ลูกสูบ จานเจาะรูเซาะร่อง ให้งามรับกับลายก้านแม็กจาก M กันหน่อย โดยเพิ่มเงินค่าตัวให้เจ้า Active Hybrid อีกสักหน่อยน่าจะดีกว่า มันดูสวยงามด้วยคาลิปเปอร์ มีสีสรร ที่ไม่ได้จืดชืด ร่วมกับจานดิสก์ที่เรียบๆ ดูไม่มีอะไรเลย และที่สำคัญมันจะทำให้รถคันนี้ เกือบจะ Perfect ในด้าน Performance อีกด้วย
ระบบกันสะเทือน
ด้านหน้าเป็นแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมสปริงแบบ Aluminium double-joint สำหรับด้านหลัง Multi-link 5 จุดยึด หรือ 5-Link ซึ่งเป็นแบบเดียวกับ 3-Series ในตัวถัง F30 คันอื่น จึงยังออกสไตล์นุ่มนวลแบบเดิม (นิ่มขึ้นกว่าโฉม E90 ชัดเจน)
แต่ถึงแม้จะนิ่มเหมือนเดิม แต่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้านท้ายจาก แบตเตอรี่ Li-ion ช่วงพยุงด้านท้ายได้ดี ในช่วงความเร็วสูง ตัวรถยังดูนิ่งกว่า 320i ที่ based ช่วงล่างแบบเดียวกันมา แม้ขับที่ความเร็วระดับ 220 กม./ชม. ขณะที่เผลอเหยียบเพลินจนลืมดูหน้าปัด เพราะมันนิ่งกว่ามาก ไม่ลอยเหมือนที่พบกับ 320i ที่ย่านความเร็วสูง
ช่วงล่างเฟิร์มกว่ามาก ทั้งการขับที่ความเร็วสูง และการเข้าโค้ง โดยการขับเข้าโค้งที่ใช้ความเร็วสูง ด้วยนิสัยของช่วงล่างแบบนิ่มนั่งสบายทางการโดยสาร จึงอาจรู้สึกว่าช่วงล่างจะดูยุบตัวยวบลงลึกไปนิดในช่วงที่หักพวงมาลัยเข้าโค้ง แต่พอถึงช่วงบานโค้งออกในจังหวะ rebound ตัวของโช้คอัพจะดูหนึบแน่น ขึ้นไม่ได้ดีดตัวคืน จนทำให้ตัวรถโคลงเซ โดยการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง และเดินคันเร่งต่อเนื่อง ถ้ากรอคันเร่งหรือเข้าที่ความเร็วไม่สูงมากจนเกินไป รถจะยังคงนิ่งดี จากการบาลานซ์น้ำหนักด้านท้ายของของมอเตอร์ไฟฟ้าช่วย แต่ถ้าเติมคันเร่งหนักๆ จะเริ่มมีอาการ Oversteer (ท้ายปัด) ออกมาบ้าง ซึ่งตามประสาของรถขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งจะต้องระวังให้ดี
ในโค้ง การแตะเดินคันเร่งกับรถระดับ 340 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ควรยัดคันเร่งในโค้งแรงๆ หรือเข้ามาที่ความเร็วเกินปกติ ไปเยอะโดยไม่ได้แตะเบรก เพราะ ไฟ Dynamic Traction Control จะติดขึ้นเพื่อบอกการทำงานทันที และถ้านั่นมันบอกสถานะว่าทำงานแล้ว และมันแรงจนเกินความสามารถของรถ ยิ่งทำให้อาการ Oversteer ออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเกิดอันตรายจากการที่ท้ายปัดออกนอกไลน์ถนนได้
ด้านความนุ่มนวลแม้ว่ายางจะเป็นไซส์ 225/45/18 แต่ต้องยอมรับเลยว่า นุ่มนวลเกินคาด น่ายกย่อง เพราะแทบจะไม่แตกต่างจากตัว 320i ที่ใช้ขอบ 17” ด้วยซ้ำ ถ้าไม่จับสังเกตดีๆ ที่จะแข็งกว่าอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และสำหรับการขับผ่านหลุมบ่อ ทางขรุขระ ก็ยังดูดซับแรงได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ทำให้สะท้านขึ้นมาถึงลำไส้ แต่ยังไง เราก็ยังแนะนำให้เวลาเจอเนินหลุมบ่อ หรือทางขรุขระ ควรที่จะชะลอความเร็วลงมากกว่ารถยนต์ปกติ เนื่องด้วยเป็นล้อขอบ 18” และตัวรถที่ต่ำ นั่นส่งผลให้สเกิร์ตด้านหน้าอาจเกิดการขูดกระแทกได้มากกว่ารถยนต์ทั่วไป
สรุป
BMW Active Hybrid 3 คันนี้ อย่าคิดว่าออกมาเพราะเป็นรถยนต์ Hybrid แล้วหวังในด้านการประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เพราะมันไม่ได้ประหยัดกว่า 320i อย่างแน่นอน ถ้าคุณขับแบบรีดสมรรถนะม้าที่มีในคอกออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ถ้าคิดแค่ประหยัดน้ำมัน สู้เอาเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบ 2 ล้าน ไปซื้อ 320d ดีกว่า แถมด้วยค่าน้ำมันดีเซลที่ยังคงลิตรละไม่เกิน 30 บาท เพราะ Active Hybrid 3 คันนี้ มันเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบรถแรงเปี่ยมสมรรถนะในคราบรถบ้าน ที่นั่งสบาย นุ่มนวล
จะมีรถสักกี่คันที่เป็นรถในอุดมคติของคุณ ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแท้จริง ซึ่งผมต้องขอบอกไว้เลยว่า BMW Active Hybrid 3 คันนี้ ถือเป็นรถที่ตอบโจทย์ในอุดมคติผมได้เกือบหมด
รถ Sedan นั่งได้ 5 คน ช่วงล่างสบายนุ่มนวล ตัวรถดูดีเรียบหรู และที่สำคัญ สมรรถนะขุมพลังมาแบบทีเดียวจบ ไม่ต้องไปโมกันต่อให้จุกจิกสิ้นเปลืองไม่จบไม่สิ้น แถมประหยัดน้ำมันในระดับ B-Segment
บำรุงรักษาไม่วุ่นวาย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แต่ต้องขอติอยู่จุดเดียวจริงๆ และเป็นจุดที่ค่อนข้างสำคัญมากเสียด้วย เบรก! รถพละกำลัง 340 แรงม้า เบรกควรที่จะอัพเป็น Hi Performance ได้แล้ว
เอาเป็นว่าสรุปง่ายๆ ผมเจอรถในฝันของผมอีกคันแล้ว จนทำให้ผมลืม หรืออาจนอกใจ Evolution สุดที่รักของผมไปชั่วขณะที่ได้อยู่กับ Active Hybrid 3 คันนี้ เพราะครบเครื่อง เต็มสูตร สมรรถนะน้องๆ Supercar จ่ายเงินแค่ 4 ล้านเศษ เอาไปขับไล่รถระดับราคา 7 ล้านได้อยู่ (ยกเว้นเจ้าก๊อดซิลล่าบ้าคลั่งอย่าง GT-R ไว้คัน) เพียงแต่มันอยู่ในคราบรถบ้านที่หลอกตาผู้ไม่รู้ประสีประสาเรื่องรถเท่านั้น
ถ้าเงินถึงและรถในอุดมคติของคุณเป็นเหมือนผม ยังไงก็ต้องโดน แต่ขอแนะนำอย่าง เบรกควรต้องอัพเกรดโดยด่วน!
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก http://photos.autospinn.com/2013-BMW-ActiveHybrid-Testdrive/
เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่
ความคิดเห็น