Michelin Pilot Sport 3 ยางรถยนต์นั่ง Sport Series จากค่าย Michelin ที่ถือว่าจับตลาดในกลุ่มที่สูงกว่า Primacy และ Energy ซึ่งทาง Autospinn เราได้ถูกรับเลือกให้เป็นสื่อหนึ่งในการทำรีวิวแบบใช้งานจริงในครั้งนี้ ซึ่งต้องขอบคุณทาง Michelin เป็นอย่างมากที่ได้ให้ยางกับทางเรามาทดสอบ แบบใช้งานจริงจัง กันในชีวิตประจำวัน ในแบบที่คนส่วนใหญ่ใช้ ไม่ใช่เพียงแค่ทดสอบสมรรถนะแต่ในสนามแข่งเท่านั้น โดยผมได้เลือกยางขนาด 215/50/17 ซึ่งเป็นไซส์เดิมที่ผมใช้อยู่ทุกวัน เข้ามาเปลี่ยนแทนที่ โดยได้เปลี่ยนใช้งานมาราว 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะทำการเขียนรีวิวนี้ และได้เทสสมรรถนะการยึดเกาะบนพื้นผิวถนนที่เปียก ตั้งแต่ที่ขับรถออกจากศูนย์บริการทันที เนื่องจากเป็นช่วงที่ฝนตกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง
การที่ผมเลือกยางไซส์ 215/50/17 ซึ่งเป็นยางที่ถือว่า Over Series ไป ไซส์หนึ่ง เพื่อเน้นการใช้งานบนท้องถนน บ้านเรา ที่มีสภาพหลุมบ่อ เป็นลอนคลื่น ให้มีความนุ่มนวลมากว่า Series 45mm และขนาดความกว้าง 215mm เป็นยางที่เหมาะกับล้อแม็กที่มีหน้ากว้าง 7.0”-7.5” ซึ่งล้อแม็กของผมมีความกว้างอยู่ที่ 7.5” พอดี
มาเริ่มที่การตรวจสอบค่า Treadwear(ค่าการสึกหรอ)/Traction (ความสามารถในการยึดเกาะบนถนนเปียก)/Temperature(ค่าการทนความร้อน) กันก่อน ได้ค่าดังนี้ 320/AA/A หมายความว่า เป็นยางที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างยาว ซึ่งถ้า tread wear ที่ 320อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าที่ 200 โดยทั่วไปอาจต้องแลกมาด้วยความแข็งกระด้าง หรือและการเกาะถนนที่น้อยลง แต่ตัวเลขที่เยอะไม่ได้บ่งถึงการเกาะถนนที่น้อยลงเสมอไป ต้องขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการออกแบบลายดอกยาง โครงสร้างยาง และส่วนผสมยาง /มีสมรรถนะในการยึดเกาะถนนบนพื้นเปียกได้ดีเยี่ยม / มีความทนทานต่อความร้อนสูง
มีค่าประสิทธิภาพที่ทาง Michelin ได้ให้ Performance Rating อยู่ที่ 8/9/8/8/8 wearlife/fuel efficiency/handling/braking/comfort ซึ่งถือว่ามีคุณภาพที่สูงทีเดียว ในทุกด้าน และดีที่สุดในด้านอัตราสิ้นเปลือง
สำหรับยางตัวนี้มีจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยี หลักๆ ได้แก่
-หน้ายางอัจฉริยะแบบแปรผัน
สามารถปรับการขยับตัวของหน้ายางตามความเร็วรถ เพื่อสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการยึดเกาะ
กล่าวคือ ที่ความเร็วต่ำหน้ายางสามารถขยับตัว เพื่อสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสม ส่งผลให้มีการยึดเกาะที่ดีขึ้น
ขณะที่ความเร็วสูง หน้ายางสามารถแข็งตัว เพื่อลดอุณหภูมิลงไม่ให้ เกิดการ Overheat ของยาง
-เทคโนโลยี Anti Surf System
ที่เพิ่มมุมโค้งบริเวณไหล่ยาง ช่วยระบายน้ำออกด้านข้างได้มากขึ้น โดยไม่ลดหน้าสัมผัส การเกาะถนนจึงดีเช่นเดิม แต่รูปแบบเช่นนี้ มันจึงดูเหมือนแก้มยางจะบวมออกด้านข้างมากขึ้นเล็กน้อย
-เทคโนโลยี Sport Power Compound
เป็นเทคโนโลยี ที่ได้รับการถ่ายทอดจากการแข่ง 24 Hr Le Mans ได้รับความสำเร็จอย่างสูง เพราะมี Wet Grip Elastomer ที่ให้การยึดเกาะพื้นถนนในทุกสภาพอากาศ
หลังจากพูดข้อมูลเชิงเทคนิค กันไปเรียบร้อย เรามาเริ่มต้นเข้าเรื่องการรีวิวของเรากันได้เลย
ยาง Michelin Pilot Sport 3 นี้ ลายดอกยางดูจะออกไปแนวสไตล์รถบ้านทั่วๆไป ลายดอกดูไม่โฉบเฉี่ยว ลายหวือหวาดุดันแบบ Sport Series อย่างเช่น Advan Neova และยังดูจะหวือหวาน้อยกว่า SP Sport LM703 อีกด้วย ซึ่งดูตามรูป แล้วชัดเจนว่า ยางชุดนี้ เน้นการออกแบบเหมาะแก่การใช้งานขับขี่บนท้องถนน ทั่วไปเป็นหลัก และซิ่งบ้างเป็นครั้งคราว จึงทำให้ผมเกิดคำถามแรกว่า มันจะมีสมรรถนะที่ดี ตามกล่าวอ้างว่า “สนุกขึ้นทุกเส้นทาง แม่นยำกว่าในทุกโค้ง” จริงหรือไม่?
การที่ลายดอกยาง ดูไม่ได้โฉบเฉี่ยวมากจนเกินไป นั่นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ เสียงไม่ดังมากนัก น้อยกว่าที่คิดไว้ด้วย (เทียบกับยาง ที่เป็น Sport Series) แต่ด้วยตัวถังรถ Lancer EX ของผม ที่ภายในห้องโดยสาร ขึ้นชื่อเรื่องเสียงดังอยู่แล้ว มันจึงดังอยู่ ถ้าหากไปเทียบกับรถยนต์ คันอื่น ใน Segment เดียวกัน หรือ ต่าง Segment ก็ตาม
นอกจากนั้นยังถือว่าให้ความนุ่มนวลพอตัว ด้วยเนื้อยางที่ไม่แข็งมากนัก จึงทำให้มันไม่กระด้างจนเกินไป เพราะทันทีที่ผมขับออกจากศูนย์บริการ รู้สึกทำไม มันเด้งดีมาก จนรู้สึกได้ว่าลมยางที่เติมออกมาให้ แข็งจนเกินไป จึงได้ปรับกลับมาใช้ขนาดปกติที่ผมเติมอยู่ ก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนวล ในแบบที่คุ้นเคยกลับคืนมา โดยรวม ถือว่า เป็นยางที่ให้ความ Comfort สะดวกสบาย ตามเคลมได้จริง และถือว่าดีกว่าเพื่อนที่เป็นยางในกลุ่ม Sport Series ด้วยกัน
สำหรับการทดสอบในด้านสมรรถนะนั้น จุดเด่นหลักๆ ของยางตัวนี้ จะอยู่ที่ความสามารถในการขับขี่บนพื้นผิวเปียก หรือ ยามฝนตก ซึ่ง มีร่องรีดน้ำที่มีประสิทธิภาพดี มากถึง 4 ร่อง ด้วยกัน ทำให้เวลาที่เราขับบริเวณแอ่งน้ำขัง จากที่เคยมีการดีดดิ้น ออกอาการ ส่าย ศูนย์เสียความควบคุม มันลดลงไปได้มาก ทีเดียว เมื่อขับเข้ามาที่ความเร็วสูงเท่าๆกัน
ด้าน Handling การควบคุม ถือว่าทำได้ไม่เลว การหักวงเลี้ยวในโค้ง ยางดูมี Grip (การยึดเกาะ) ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และหักเลี้ยวเข้าง่ายกว่าเดิม ซึ่งช่วยลดอาการ Understeer (อาการหน้าดื้อ) ซึ่งอาจมีผลมาจากเทคโนโลยีหน้ายางแปรผัน ที่มีการขยับตัว ให้มีความยืดหยุ่นที่ดีขึ้น ถ่ายเทน้ำหนัก และบาลานซ์ลงสู่ บริเวณขอบยางได้ดี
การเบรกถ้าเริ่มต้นถามว่า มีระยะที่สั้นลงหรือไม่ ต้องขอบอกตามตรงว่า ตั้งแต่ที่ผมได้ยางตัวนี้มา ไม่ได้ลองเบรก แบบกระทืบ ลงน้ำหนัก ถึงขั้น ABS ทำงาน ล้อไถล จนเกิดการเสียดสีของยางกับ พื้นถนนเลย ซึ่งในส่วนตรงนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าระยะเบรกสั้นลงจากเดิมหรือไม่ เพราะมันมีปัจจัยจากหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง ผ้าเบรก Fade ถือเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง การเปรียบเทียบกับยางเก่าที่ใช้มานาน และผ้าเบรกยังใหม่กว่า จึงไม่สามารถตอบแบบการันตีได้ แต่จากผลการทดสอบจากผลการทดสอบโดย TÜV Rheinland Thailand Ltd. พบว่าระยะสั้นกว่า คู่แข่ง 1.5 ม. และ สั้นกว่า 1.1 ม. เมื่อเทียบกับ Michelin Pilot Preceda PP2
สำหรับการเบรกใช้งานใน สถานการณ์หยุดรถแบบปกติ ถ้าบนพื้นถนนปกติ ผมรู้สึกว่าไม่แตกต่างจากเดิมแบบจับผิดได้ แต่บนพื้นที่เปียก ถนนลื่น มีน้ำขัง อันนี้ผมคอนเฟิร์ม ได้จริงว่า มันเบรกดีขึ้น เนื่องจากหลากปัจจัยที่เข้ามามีผล คือ ยางชุดนี้ไม่แข็งจนเกินไป เหมือนยางชุดเก่าที่ผมใช้ก่อนหน้า นั่นจึงไม่แปลกที่จะมีประสิทธิภาพการหยุดรถที่ดีกว่า และร่องรีดน้ำ ที่กระจายน้ำออกด้านข้างได้ดีขึ้น ทำให้รถไม่ส่ายสูญเสียความควบคุม ขณะที่กำลังเบรก
สรุป Michelin Pilot Sport 3 ถือยางสปอร์ต ระดับคุณภาพ ที่ครอบคลุมการใช้งานอย่างหลากหลาย ทั้งอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาว (ตามค่า Treadwear), สมรรถนะในด้านการควบคุม การยึดเกาะถนน รวมถึงระยะเบรกที่สั้น แต่ก็ไม่ละทิ้งความสะดวกสบายในการโดยสารทั้งความนุ่มนวล และความเงียบที่ถือว่าดี (ในยางกลุ่ม Sport Series) เมื่อมาดูที่ราคาจะอยู่ที่เส้นละ 5,750 บาท (ไซส์ 215/50/17) อ้างอิงจาก Michelin Hotline ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงมากนัก เทียบกับคุณภาพที่ครอบคลุมใช้ได้กับทุกกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคคงต้องตัดสินเองใจกันเองว่าคุ้มค่ากับการใช้งานในสไตล์ของตนหรือไม่ เพราะบางคนที่ไม่ได้ขับรถแบบ Aggressive อาจมองว่ามันมากเกินความจำเป็นหรือไม่ แต่อย่างไรก็ต้องไม่ลืมว่า ยางเป็นส่วนเดียวของรถทั้งคันที่ได้สัมผัสกับพื้นถนน การคิดจะเปลี่ยนยางทั้งที ต้องพิจารณา กันให้ดี ไม่ควรมองข้ามความปลอดภัยด้วย
นอกเหนือจากการทดสอบโดยทีมคอนเทนต์ของออโต้สปินน์ ซึ่งดูเหมือนนว่าจะมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคนิคของยางรถยนต์และการขับขี่มากในระดับหนึ่ง ทีมงานของเราได้เกิดข้อสงสัยว่า หากยางนี้ดีจริงและมีคุณภาพสมแก่การที่เราจะชื่นชมจริง ๆ การขอความเห็นจากผู้ขับขี่ที่แท้จริง ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันน่าจะเป็นเรื่องดี
ทีมงานได้ติดต่อไปยังคุณฟิลลิป ฟอร์ด ที่ใช้รถยนต์มาสด้า 3 ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และมีการใช้งานยางไซส์ 205/50R17 โดยไม่ได้ระบุว่าจะให้เปลี่ยนเป็นยางรุ่นใด และได้นัดเวลามาเปลี่ยนยางที่ศูนย์บริการของมิชลิน และได้เปิดโอกาสให้ทำการทดสอบในรูปแบบการใช้งานในชีวิตประจำวัน ภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
ผลการทดสอบของคุณฟิลลิปก็แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในเชิงสมรรถนะและความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ของมิชลิน ไพลอต สปอร์ต 3 ได้เป็นอย่างดี ภายใต้สถานการณ์การขับขี่แบบผู้ใช้งานปกติทั่วไป ซึ่งสามารถติดตามอ่านบทรีวิวแบบเต็มรูปแบบได้ที่ด้านล่างนี้
“ผมรู้สึกโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้รับแจ้งว่าจะมีโอกาสได้ทดสอบยางชุดใหม่จากมิชลิน และตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อได้รับเชิญไปที่ศูนย์บริการเพื่อทำการเปลี่ยนยาง โดยที่ไม่ได้ทราบมาก่อนว่าจะเป็นยางรุ่นใด เนื่องจากทางทีมงานขอไปเพียงขนาดของยางที่ต้องการสำหรับรถผม และมาทราบตอนที่เปลี่ยนว่ายางที่ได้รับการเปลี่ยนให้ก็คือ มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 3
ก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนมาใช้มิชลิน รถของผมใช้ยางรถยนต์ที่โฆษณาในเรื่องของความเงียบภายในห้องโดยสาร ที่ยังมีสภาพเยี่ยมและสามารถใช้งานได้อีกอย่างน้อย 20,000 กิโลเมตร ในเรื่องของความเงียบ เมื่อวิ่งที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนโทลลล์เวย์ ยางรุ่นเดิมก่อให้เกิดเสียงในห้องโดยสารราว 80 เดซิเบล ซึ่งถือว่าดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้การเปรียบเทียบยางใหม่กับยางเก่าอาจจะไม่ยุติธรรม และมิชลินชุดนี้ก็ยังวิ่งไม่ถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่ยางชุดใหม่ก็สามารถให้ความเงียบในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นอีก 5-7 เดซิเบล ซึ่งทำให้การพูดคุยระหว่างผู้โดยสารในห้องโดยสารของรถเป็นไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น จากความเงียบของยางที่เพิ่มขึ้นมา
ในแง่ของสมรรถนะในการขับขี่ ผมได้มีโอกาสทำการทดสอบบนระยะทางกว่า 500 กิโลเมตรบนเส้นทางกทม.-หัวหิน ซึ่งความเงียบของยางก็ยังปรากฎให้เห็นเด่นชัดบนพื้นผิวต่าง ๆ หรือแม้แต่การวิ่งผ่านช่วงถนนที่ชำรุด การเดินทางสู่หัวหินนั้นเป็นการวิ่งทดสอบบนถนนแห้ง ที่แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะในการเข้าโค้งที่ให้ความมั่นใจในการควบคุมรถมากขึ้น และทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างสะดวก
อย่างไรก็ตาม ในการเดินทางกลับของเรา ยางรถยนต์ก็ได้รับการทดสอบสมรรถนะอย่างเต็มที่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ทำให้รถยนต์และยางได้รับการทดสอบบนเส้นทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฝนตกเบา ๆ บนถนนยางที่ร้อนระอุ และมีคราบน้ำมันย่อม ๆ บนท้องถนน ไปจนถึงฝนตกหนักในพื้นที่สมุทรสงคราม
แน่นอนว่าการลดความเร็วในการขับขี่เป็นเรื่องที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจในการขับขี่กลับไม่ได้ลดลงไป แม้ว่าจะเป็นการวิ่งผ่านรถบรรทุกท่ามกลางฝนตกหนักก็ตาม ซึ่งในอดีตผมอาจจะเคยหวาดกลัวกับการขับขี่ภายใต้สภาวะดังกล่าว แต่ไพลอต สปอร์ต 3 กลับทำให้สามารถผ่านสถานการณ์นั้นมาได้อย่างง่ายดาย
ปัญหาในการขับขี่รถยนต์ท่ามกลางฝนตกหนักอีกอย่างก็คือหลุมน้ำที่กระจายตัวอยู่บนพื้นถนน หรือแอ่งน้ำที่กินพื้นที่กว้างกว่าครึ่งเลน หากขับหลบหลีกก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุ หรือหากวิ่งฝ่าเข้าไปก็จะเป็นการทำให้น้ำกระเด็นออกเป็นวงกว้าง แต่กับยางมิชลินชุดนี้แล้ว สิ่งที่ยางทำก็เหมือนกับการวิ่งตัดแอ่งน้ำออกไป โดยที่ไม่ได้โยนน้ำใส่รถคันอื่น หรือแม้แต่จะเสียการควบคุมไปในทิศทางใด ซึ่งทำให้ตัวรถมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับยางรุ่นอื่น ๆ ที่เคยใช้มา
ฟิลลิป ฟอร์ด ผู้เขียน
โดยสรุปแล้ว มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 3 คือยางรถยนต์ที่มอบความยอดเยี่ยมในด้านต่าง ๆ มาอย่างครบครัน ตั้งแต่ความเงียบในการขับขี่ การควบคุมที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบนพื้นถนนเปียกที่สามารถเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่ให้ได้อย่างแน่นอน!!!”
ความคิดเห็น