พูดถึงรถ 2 ล้อ แบรนด์ Triumph ซึ่งถือเป็นแบรนด์ดัง ราคาแพง จาก เกาะอังกฤษ ซึ่ง Britbike เป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยปีหน้า 2014 นี้ ทาง Triumph จะมีการ Rebranding ครั้งใหญ่ นั่นคือ การเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ ที่ปกติ จะใช้เป็นตัวอักษรโดยโยงหางตัวอักษร R ไปยังตัวอักษร H แต่ปีหน้านี้จะใช้เป็นโลโก้ แทนโดยจะเป็นรูป สามเหลี่ยมคว่ำหัว และมีตัวอักษร T อยู่ด้านใน พร้อมพื้นลายธงชาติสหราชอาณาจักร
และเมื่อพูดถึงแบรนด์ Triumph หนึ่งในรถที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ นั่นคือเจ้า Speed Triple รถสไตล์ Naked Bike ที่มากับ ไฟกลมคู่หน้าอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ที่สาวก Bigbike ต่างรู้จักดี และเจ้า Speed Triple นี้ได้เคยแสดงภาพยนตร์ Action สุดระห่ำ อย่าง MI2 (Mission Impossible 2) นำแสดงโดย Tom Cruise เมื่อช่วงปี 2000 ณ ตอนนั้น ยังเป็น Speed ตัวเก่าที่คงเอกลักษณ์ในรูปแบบไฟกลม 2 ดวง จนมาถึงปี 2011 Speed Triple ในรูปแบบไฟกลม อันโดนดังมากว่า 10 ปี ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบไฟหน้า กลายเป็นไฟหน้าทรงเหลี่ยมแบบ แปลกๆ หรือที่ใครหลายคนเรียกมันว่า หน้าตั๊กแตน ซึ่งดูแล้ว ผู้ใหญ่หลายท่าน อย่างคุณพ่อผม บอกว่าดูแล้วเหมือนรถประกอบไม่เสร็จ แต่สำหรับวัยรุ่นหลายคน กับชื่นชอบ ดีไซน์ที่ดู กวนโอ๊ย และมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ชนิดที่ว่าขี่ไปไหนมาไหน ผู้คนพบเห็นก็หันมามอง ว่ามันคือรถอะไร นอกจากนั้นถ้ามองจากด้านท้ายแล้ว จะรู้สึกได้ว่า Speed Triple นี้มันไม่ใช่รถที่ธรรมดาเอาซะเลย เพราะความดุดันทรงหลัง จากท่อคู่ออกท้ายขนาดใหญ่ ร่วมกับยางเบอร์โต ขนาด 190 ที่หุ้มล้อ อัลลอยลาย 5 ก้านคู่ ซึ่งเห็นได้ชัดจากการใช้ สวิงอาร์มเดี่ยว นั่นจึงทำให้การมองจากด้านท้ายของมันนั้น ดูซะบึ้มทรงพลังมาก ราวกับ สาวที่มีสะโพกดินระเบิดนั้นเอง และนั่นเอง มันจึงเป็นรถที่ผมชอบมากคันหนึ่ง และอยากมีโอกาสได้ลองขับขี่ มากที่สุดในแบรนด์ Triumph
เริ่มต้นหลังจากที่ได้รับกุญแจเจ้า Speed Triple มาดูเหมือนกุญแจล๊อกเกอร์อย่างไรไม่รู้ แต่ดูอวบอ้วนขนาดใหญ่กว่าเพราะมี Immobilizer เริ่มบิดกุญแจพร้อมสตาร์ท ซึ่งสามารถบิดได้ 4 ระดับ ที่ตอนแรกเล่นเอาผมงงไปนิด คือ บิดสตาร์ท บิดดับเครื่อง บิดล๊อคคอ และล๊อคคอพร้อมไฟหน้าติด หลังจากบิดกุญแจแล้วไฟมาตรวัด ก็ติดขึ้น มีทั้งระบบดิจิตอล ปน Analog มันทำให้รู้สึกถึงความ Classic ในยุคเก่า จากมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ที่เป็นแบบเข็ม ผสมปนรวมกับความ Modern ในยุคใหม่ จากหน้าจอแสดงผล LCD Multi-Function ที่มีลูกเล่นมากมาย สามารถตั้งค่าหน่วยในระบบเมตริก หรือไมล์ ได้ สามารถเซ็ต Shift Light ได้ ว่าจะให้ไฟโชว์กี่ดวง และยังสามารถเซ็ตรอบเครื่องยนต์ ให้มีไฟ Shift Light เตือนขึ้นได้ มีนาฬิกาจับ Lap Timer เซ็ตทริป บอกอัตราสิ้นเปลือง รวมระยะทางคงเหลือที่วิ่งได้ รวมถึงการแจ้งเตือนการนำรถเข้าเช็ค แต่เมื่อหันมามองที่ประกับไฟด้านซ้ายมือ พบว่ามีไฟ Pass เอาไว้ให้ใช้ แต่กลับไม่มีสวิทช์ไฟฉุกเฉินมาให้
เมื่อได้ลองคร่อมดู พบว่าความสูงเบาะ 825mm กับส่วนสูงผมที่ 174cm เมื่อใส่รองเท้าผ้าใบปกติ นั้นต้องเขย่งเนื่องจากเหยียบไม่เต็มเท้า แต่หากใส่รองเท้าบูท จะสามารถเหยียบได้อย่างเต็มเท้า ถึงแม้มิติรถจะดูใหญ่มาก ทั้งจากถังน้ำมัน และแชสซีส์ ที่ดูใหญ่โต แต่น้ำหนัก กลับไม่หนักเหมือนที่ตาเห็น เพราะการได้เฟรม, สวิงอาร์ม และล้อที่ทำจาก อลูมีเนียมทำให้น้ำหนักตัว อยู่เพียงแค่ 214 กก. เท่านั้น แต่กับท่าทางในการขับขี่ ด้วยแฮนด์บาร์ที่ดูกว้างและต่ำ พร้อมกับถังน้ำมันขนาดใหญ่ ทำให้ท่าทางการขี่ของคนที่ตัวไม่ใหญ่มาก เช่นตัวผมเอง ที่ดูจะไม่ค่อยสบายนัก เมื่อขี่ที่ความเร็วสูงต้องก้มหนีลม ด้วยการยื่นศรีษะออกมาให้กระชับกับด้านหน้าของถังน้ำมัน พร้อมกับการวางแขนให้แนบชิดตัวถัง ซึ่งยังดีที่ด้านข้างตัวถังมีร่องให้วางแขนแนบชิดเข้ามาได้
หลังจากที่ได้อยู่กับมันมา 3 วัน มีจุดที่ทำให้ผมรำคาญบ้างเล็กน้อย อย่างแรกคือกระจก ที่ก้านมันช่างดูยื่นออกมาเกะกะแขนเสียจริง เวลาที่เข็นรถ เพราะดูขนาดกระจกจะเกินเลยความกว้างช่วงแฮนด์บาร์ออกมาอยู่หน่อย กับ ไฟ Shift Light ที่สวยจริง แต่พอขี่ตอนกลางคืน มันกลับสว่างจ้า ยิ่งลากรอบไปถึงจุดที่ไฟกระพริบเตือนด้วยแล้ว เล่นเอา มองไม่เห็นทางข้างหน้ากันเลย เพราะรบกวนสายตา ในการขับขี่กลางคืนมาก จนต้องปิดระบบนี้ทิ้ง
ขุมพลังของ Triumph Speed Triple นี้ ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบเรียง 12 วาล์ว 1050cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีกำลังเต็มให้พร้อมเหนี่ยว ถึง 135 แรงม้า @ 9400rpm และแรงบิด 111Nm @ 7750rpm
การเริ่มต้นขับขี่ กำคลัชปุป รู้สึกหนักเอาเรื่องเลย เตะเกียร์ลง รู้สึกได้ว่าคันเกียร์ไม่แข็ง การเข้าเกียร์ทำได้ง่าย และมีระยะฟรีก่อนที่เกียร์จะเข้าล๊อค ในการหาเกียร์ว่าง ก็ทำได้ไม่ยากเย็น หลังจากปล่อยคลัชเพียง นิดเดียว รถก็พร้อมพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ สามารถออกตัว แบบกระโจนได้ ไม่แพ้รถ 2 สูบ Torque มีมาให้ใช้แบบ หนักๆ ตั้งแต่ทันทีที่เปิดคันเร่ง พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ หวานหูในสไตล์รถ 3 สูบ ที่เป็นเอกลักษณ์ จะไม่ดุดันเหมือน 2 สูบ แต่ก็ไม่ทุ้มนุ่มแบบ 4 สูบ เมื่อขับลากรอบไปเรื่อยๆ ไฟ Shift Light จะเริ่มแจ้งเตือน ทีละเม็ด เมื่อถึงรอบที่กำหนด และจะกระพริบ เมื่อถึงรอบสูงที่ควรจะเปลี่ยนได้แล้ว เมื่อลากไปถึงช่วง 6,000rpm + รู้สึกถึงแรงดึงที่พร้อมจะฉุดให้ปลิวออกจากตัวรถ เจ้าตั๊กแตน 3 สูบนี่มีแรงบิดที่มีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต้น ทำให้มันกระโชกโฮกฮาก ไม่แพ้เครื่องยนต์ 2 สูบ แต่เมื่อย่านความเร็วกลาง ขึ้นไป กำลังก็จะมาให้แบบยาวๆ สม่ำเสมอ และหวิวๆ ในแบบเครื่องยนต์ 4 การเร่งแซงที่ความเร็ว ระดับ 80 กม./ชม. ขึ้นไป เพียงแค่ เกียร์ 6 ก็สามารถแซงได้อย่างไม่ยากลำบาก เพียงแค่เปิดคันเร่งออกไป รถก็จะทะยานผ่านทุกสิ่ง รอบตัวคุณได้อย่างสบาย และหรือหากลดลงมาเกียร์ 5 และเปิดคันเร่งจนสุด เพียงชั่วอึดใจเดียว ความเร็วก็ไปแตะอยู่ที่ระดับ 130 กม./ชม. + ได้อย่ารวดเร็ว เรียกได้ว่าพละกำลังมาให้อย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ต้น จน ปลาย แต่อาจต้องทำใจกับอัตราสิ้นเปลืองที่ ซดเก่งตามเคลม โดยในตัวเมืองอยู่ที่ 14.5 กม./ลิตร ถ้าวิ่งที่ความเร็ว 90 กม./ชม. กินอยู่ 21.28 กม./ลิตร และวิ่งที่ความเร็ว 120 กม./ชม. ซด 18.7 กม./ลิตร
สำหรับตัวเลขที่เราได้ วิ่งในตัวเมือง หน้าจอแสดงผลกินอยู่ที่ 13 กม./ลิตร และวิ่งรอบนอกตัวเมือง จะได้อยู่ที่ 15 กม./ลิตร
ด้านระบบช่วงล่าง ใช้โช้คอัพคู่หน้าแบบ Upside Down จาก Showa แกนโช้คขนาด 43mm ปรับ Rebound Compression ได้ ด้านหลังใช้โช้คอัพเดี่ยวหลัง Monoshock จาก Showa ปรับ Rebound Compression ได้เช่นกัน (Speed Triple R จะได้โช้ค Ohlins หน้า-หลัง) และ สวิงอาร์มหลังเดี่ยว แบบ อลูมีเนียม ในส่วนของล้อใช้วัสดุอลูมีเนียมอัลลอย ลาย 5 ก้านคู่ Multi-spoke (Speed Triple R จะใช้ล้อ ฟอร์จ อลูมีนัม) สวมด้วยยาง Metzeler ขนาด 120/190 หน้า/หลัง ให้การเข้าโค้งที่แน่น และมั่นใจได้ดี แต่อาจจะรู้สึกแข็งไปบ้าง จากยางขนาด 190 ที่ดูจะไม่ค่อยซับแรงมากนัก และเนื้อยางที่ดูค่อนข้างจะแข็งไปสักนิด
ระบบเบรก ด้านหน้าใช้จาน ดิสก์คู่ ขนาด 320mm พร้อมคาลิปเปอร์เบรก Radial จาก Brembo 4 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS (สำหรับ Speed Triple R จะได้คาลิปเปอร์แบบ Monobloc) ด้านหลังใช้จานดิสก์เดี่ยว ขนาด 255mm คาลิปเปอร์เบรก จาก Nissin 2 ลูกสูบ ในการกะระยะเบรก ถือว่าเบรกอยู่ดี ในระดับหนึ่ง แต่หากขับมาด้วยความเร็ว การกำเบรกอย่างเดียว อาจคงไม่พอ ต้องใช้ E-Brake เข้าช่วย เนื่องจากไซส์ตัวรถที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงทำให้มีแรงฉุดหน่วงให้รถยังเคลื่อนที่ อยู่พอสมควร
สรุป Triumph Speed Triple 1050 เจ้าตั๊กแตนยักษ์ ที่มากับค่าตัว 8.7 แสนบาท ถือว่า ราคามาตามเนื้อแบรนด์ นั่นคือ การที่เป็นรถในพิกัด 1,000cc ของแบรนด์ดังจากเกาะอังกฤษ อย่าง Triumph นี่เอง จึงทำให้มันมีราคาค่าตัวโดดสูงไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับรถพิกัด 1,000cc ของฝั่งยุ่น ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีระบบเทคโนโลยีใดมากมาย ให้ใช้ แต่มันก็คงไว้ซึ่งความดิบ ดุดัน และรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Speed Triple ที่สร้างชื่อเสียงมาตั้งแต่ตัวไฟกลม และอีกอย่างข้อดีก็คือ ไม่ต้องมานั่งจุกจิกมีปัญหา กับระบบไฟที่ซับซ้อน ให้รำคาญใจ อีกด้วย สำหรับผู้ที่มีใจรักในแบรนด์ Triumph กับเจ้า Naked ตัวแรงคันนี้ คงไม่มีปัญหากับค่าตัวของมัน ที่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นรถในแบรนด์ ระดับ Premium อยู่ เพราะเมื่อคุณขี่ไปที่ไหน คุณยังมั่นใจได้ว่า มีแต่คนมองด้วยรูปลักษณ์และรูปทรงอย่างแน่นอน
มาว่ากันตามจริง Triumph ก็เป็นรถที่ประกอบไทย แต่เน้นเพื่อการส่งออก จึงติด BOI ทำให้ราคานั้นโดดเป็นราคารถนำเข้า จึงอาจทำให้ ราคาดูไม่ค่อยน่าเล่นเป็นที่นิยมนัก แบรนด์ Triumph จึงเป็นเฉพาะกลุ่มที่เล่นจริงๆ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านราคาของแบรนด์ Triumph จากการเปิด Free Zone ซึ่งอาจส่งผลให้ คนไทยอาจมีโอกาสได้ใช้ของดี แบรนด์ดี ในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น
ชมภาพเพิ่มเติมคลิ๊ก
ขอขอบคุณ Britbike ผู้แทนจำหน่าย Triumph อย่างเป็นทางการในประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Triumph Speed Triple สีดำ Phantom Black คันนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น