รีวิว MG6 Fastback 1.8X Turbo Sunroof  รถสัญชาติอังกฤษ  เชื้อสายจีน  มาดผู้ดี ในราคาจับต้องได้ Share this

รีวิว MG6 Fastback 1.8X Turbo Sunroof  รถสัญชาติอังกฤษ  เชื้อสายจีน  มาดผู้ดี ในราคาจับต้องได้

Pon Piantanongkit
โดย Pon Piantanongkit
โพสต์เมื่อ 29 August 2557

เมื่อพูดถึงรถยนต์คลาสสสิคจากแดนผู้ดี หลายคนคงจะนึกถึงแบรนด์ MG  อยู่ในใจอย่างแน่นอน   และแล้วแบรนด์นี้ ก็ได้ย้อนหวนกลับมาลุยตลาดกันอย่างจริงจังในประเทศไทย เมื่อ SAIC-Motors จับมือกับ CP บ้านเรา  เพื่อร่วมก่อตั้งบริษัท SAIC-Motors CP  เพื่อลุยทำตลาดรถยนต์ MG ภายในประเทศไทย โดยการวางรากฐานการผลิตที่ประเทศไทย  ที่นิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์นซีบอร์ด  เหมราช  จังหวัดระยอง    พร้อมเปิดตัวรถยนต์ MG6  ซึ่งถือเป็นโมเดลแรกที่ลุยตลาดในบ้านเรา   โดยวันนี้เราจะพาท่านมาพบกับ Full Review MG6 คันนี้  นั่นเอง

2014-MG6-TestDrive17

เริ่มต้นที่ภายนอก  MG6  ได้ทำตลาด 2 ตัวถัง  คือ Sedan  และ Fastback  (Fastback จะมากับเครื่องยนต์เทอร์โบเท่านั้น) โฉมที่เราได้ยืมมาทดสอบคันนี้ ซึ่งเป็นแบบท้ายลาด  โดยการเปิดฝากระโปรงบานหลังขึ้นจะเปิดขึ้นทั้งบานพร้อมกระจกแผ่นหลัง  และในโฉม Fastback คันนี้ไฟท้ายจะเป็นชิ้นเดียวกัน  ในขณะที่ Sedan จะแยกชิ้นเป็น 2 ส่วน

2014-MG6-TestDrive-Exterior

โคมไฟหน้ารูปทรงดูเป็นเอกลักษณ์มีโดยมีโคมโปรเจ็คเตอร์อยู่ที่ขอบไฟด้านข้าง  ด้านไฟท้ายเป็นแบบ Matrix LED   และท่อไอเสียทรงเหลี่ยมออกด้านซ้าย    ทางด้านฝากระโปรงท้ายจะมี Emblem  MG6 Turbo แปะอยู่ ซึ่งบ่งบอกถึงสมรรถนะ      ล้ออัลลอยใช้ลวดลายงดงามวิจิตรขอบ  17”  หุ้มด้วยยาง Goodyear Efficient Grip 215/50/17

ในส่วนของกระจกมองข้างมาพร้อมระบบลดฝ้า  และในรุ่น Top  คันนี้ได้มีการติดตั้ง Sunroof  มาให้ด้วย   เพื่อเพิ่ม Look ความสปอร์ต และหรูหรายิ่งขึ้น

2014-MG6-TestDrive103

ด้านมิติตัวรถนั้น MG6 ถือว่าเป็นรถยนต์นั่งในกลุ่ม Compact บ้านเราที่มีมิติตัวถังยาวใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้  โดยมีความ  ยาวxกว้างxสูง =  4,648x1,827x1,467 มม.  มีความยาวฐานล้อถึง 2,705 มม.  และในรุ่น Top Fastback คันนี้ มีน้ำหนักตัวมากถึง 1,548 กก.

ด้านการปลดล๊อกประตูหากกดปุ่มปลดล๊อกประตู 1 ครั้ง  ประตูจะปลดเฉพาะประตูผู้ขับเพียงบาน เดียว ต้องกดอีกครั้งถึงจะปลดล๊อกประตูทุกบาน  ซึ่งระบบนี้จะช่วยให้ความปลอดภัยได้อย่างดี เมื่อคุณเกิดจอดรถในพื้นที่เปลี่ยว    นอกจากนั้น หากปิดประตูไม่สนิท  (ซึ่งมักเกิดขึ้นกับฝากระโปรงท้ายเป็นประจำเมื่อปิดด้วยน้ำหนักที่เบา)   รถจะมีเสียงแตะดังขึ้นมา เพื่อเตือนอีกด้วย

2014-MG6-TestDrive57

สำหรับภายในห้องโดยสาร   ใช้ด้วยโทนสีดำมีการตกแต่ง Trim  ด้วยสีดำและเงิน   MG6  นี้มีความโดดเด่นในเรื่องของพื้นที่ในห้องโดยสาร  พื้นที่ตอนหลังที่ดูกว้างขวางนั่งสบายทันทีที่หย่อนก้นลงนั่ง แต่ตำแหน่งเบาะดูจะเตี้ยไปสักนิดอาจทำให้ต้องนั่งชันเข่าขึ้นมาเล้กน้อย ด้วยคันนี้ซึ่งเป็นรุ่น Fastback  จึงพบว่า พื้นที่ Head Room ที่เบาะตอนหลังดูจะน้อยไปนิด  หากผู้ที่มีส่วนสูงเกิน 180 ซม. นั่งที่เบาะตอนหลังอาจจะอึดอัดบริเวณช่วงศรีษะ     และอีกจุดเด่น ก็คือ  ช่องแอร์ตอนหลังที่สร้างความเย็นให้แก่ผู้นั่งตอนหลังไม่ต้องมีบ่น  และบริเวณคอนโซลที่เท้าแขนสามารถเอาของวางรับลมแอร์ได้   เปรียบเสมือนตู้แช่เย็นขนาดย่อมๆ  เหมาะแก่การเก็บเครื่องดื่ม

2014-MG6-TestDriveInterior

สำหรับเบาะนั่งตอนหน้านั้นปรับระดับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง  ดูกระชับดียิ่งจากปีกที่โอบลำตัว แต่อาจรู้สึกอึดอัดจากการบีบกระชับลำตัวมากเกินไป เมื่อนั่งไปนานๆ       ในส่วนของเบาะหลังสามารถพับได้ 60:40 ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระหลังถึง 472 ลิตร

2014-MG6-TestDriveInterior2

ด้านการดีไซน์พื้นที่ใช้สอยยังไม่ลงตัวนัก  ไม่มีที่วางแก้วน้ำ ขวดน้ำให้ตามแผงประตู   และแทบจะไม่มีช่องไว้สำหรับวางโทรศัพท์ Smartphone ได้  เห็นจะมีแต่ช่องเก็บเหรียญฝั่งผู้ขับที่พอจะมีช่องวางโทรศัพท์ได้ โดยช่องนี้มาพร้อมที่เสียบสาย USB  และ AUX in ไว้ให้    และตำแหน่งวางแก้วน้ำที่มีเพียงจุดเดียว แก้วเดียวเท่านั้น!   และเมื่อวางแก้วน้ำลงไปจะทำให้ การเข้าเกียร์อาจดูลำบากไปนิด  เนื่องจากข้อศอกอาจติด    และแผงบังแดดขนาดจิ๋วที่แทบจะไม่สามารถบังแดดที่แยงตาเข้าได้เลย นอกจากนั้นการจะงัดเปิดแผงบังแดดนี้ ยังต้องใช้มืองัดที่ร่องเท่านั้น  ถึงจะเปิดออกได้  ซึ่งลำบากต่อการใช้งานเมื่อมือหนึ่งต้องจับที่พวงมาลัยไปด้วย    นอกจากนั้นปุ่มและระบบต่างๆ  อาจต้องเรียนรู้การใข้งานสักหน่อย ปุ่มที่แผงคอนโซลตรงกลางที่ใช้ควบคุมเครื่องเสียง ก็ดูจะใช้งานไม่ง่ายนัก  ต้องทำความคุ้นเคยใช้เวลากันหน่อย   ถัดลงมาปุ่มปรับแอร์แบบแยกโซน    เมื่อมองมาทางซ้ายมือของพวงมาลัยจะพบช่องเสียบกุญแจ  ซึ่งการติดเครื่องยนต์ในทีแรกอาจจะมึนงง ไปบ้าง  เพราะเพียงแค่ ยัดกุญแจเข้าไปในช่องแล้วกดแช่ค้างเอาไว้ เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้น หากกดเข้าไปแต่ไม่ได้แช่ค้างจะเปรียบเหมือนการบิดกุญแจเพียงครึ่งเดียว  ซึ่งต้องกดอีกครั้งเพื่อ ให้กุญแจออกมา  และทำการกดแช่เข้าไปใหม่เพื่อติดเครื่องยนต์   และสำหรับ MG6 นี้จะไม่มีก้านเบรกมือให้เกะกะ ใช้เป็นเบรกมือแบบไฟฟ้า โดยงัดขึ้นเพื่อทำงาน และกดลงเพื่อปลดเบรก

2014-MG6-TestDrive3

ขุมพลังเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ  TCI-Tech    พร้อมวาล์วแปรผันอัจฉริยะ DVVT   มอบพละกำลังที่ 161 แรงม้า@ 5,500rpm  และ ส่งแรงบิดสูงสุด 215 Nm@2,500rpm     ซึ่งรองรับเชื้อเพลิง E20

2014-MG6-TestDrive31

ทันทีที่เราได้เริ่มขับเคลื่อนออกรถในตัวเมือง  รถค่อยๆ คืบคลานไปอย่างช้า  ดูหนักหนืดๆ  จากแป้นคันเร่ง  เมื่อแตะคันเร่งด้วยน้ำหนักที่เบา   ซึ่งเมื่อกดคันเร่งเพิ่มขึ้นกำลังก็จะค่อยๆ มีมาให้สัมผัสกันบ้าง   แต่ภาพรวมอาจจะยังดูตอบสนองช้าไปสักหน่อยในช่วงออกตัว     แต่ในด้านของพละกำลังเครื่องยนต์เทอร์โบตัวนี้ ดูจะมีพอประมาณสำหรับการใช้งานแบบทั่วๆไป  เพราะการใช้แรงดันบูสต์ที่ไม่สูงมาก  จึงทำให้การเร่งแซงรถคันอื่นด้วยอัตราเร่ง  ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใกลี้เคียงกับรถยนต์ 2.0 ไซส์ Compact คันอื่นๆ   ยังไม่ดูหน้าตื่นเต้นหวือหวากับขุมพลังเทอร์โบนัก และช่วงความเร็วย่านกลางขึ้นไป (มากกว่า 100 กม./ชม.)  ความเร็วจะขึ้นมาแบบเรื่อยๆ   แต่ยังสามารถไหลได้ถึง 180 กม./ชม.  และน่าจะไปได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย  หากมีทางยาวให้ทดสอบมากพอ

2014-MG6-TestDrive1

ลองมาวัดอัตราเร่งด้วย OBD Bluetooth ซึ่งเราได้ลองทดสอบกันดู   0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 10.95 วินาที  และ ¼ ไมล์ ได้ตัวเลข 18.35 วินาที  ที่ความเร็ว 129 กม./ชม.    ซึ่งดูจากตัวเลขกันแล้วสมรรถนะจะอยู่คาบเกี่ยวกันระหว่างพิกัดเครื่อง 1.8 และ 2.0  ลิตร

ในด้านอัตราสิ้นเปลือง  ได้ตัวเลขเฉลี่ยเดินทางไกล  12 กม./ลิตร   และ  ในเมือง 9.6  กม./ลิตร   ซึ่งสภาพการขับขี่นี้ใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ราว 120 กม./ชม.  และมีการเร่งแซงทดสอบสมรรถนะกันบ้างในบางช่วง

-  ข้อสังเกตุเพิ่มเติมพี่พบใน MG6 คันนี้  ช่วงที่ขับแบบปกติมาเรื่อยๆ  และต้องการเร่งแซงในชั่วขณะหนึ่ง  คันที่เราทดสอบนี้จะพบกลิ่นคล้ายน้ำยาย้อมผม  เข้ามาภายในห้องโดยสาร ซึ่งน่าเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของ Catalytic Converter ในห้องเครื่อง   จึงทำให้มีกลิ่นหลุดเข้ามาภายในห้องโดยสาร

2014-MG6-TestDrive76

ระบบส่งกำลังเกียร์ Dual-Clutch  6 Speed  มาพร้อมระบบ Sport (สามารถใช้งานได้ในโหมด Sport เท่านั้น)  และที่ตำแหน่งล่างสุด คือ W ซึ่งหมายถึง Winter ซึ่งเกียร์จะออกตัวที่เกียร์ 2  ว่ากันตามจริงอยู่เมืองไทยใครว่าอาจไม่ได้ใช้ เพราะช่วงนี้ฝนตกตลอดและพื้นถนนลื่นอาจก่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งก็มีโอกาสที่จะได้ใช้กันอยู่บ้าง

2014-MG6-TestDrive108

สำหรับการทำงานของระบบเกียร์นั้น ดูจะเป็นอุปสรรคในการขับขี่มาก   หากไม่เรียนรู้จังหวะของเกียร์ชุดนี้   เริ่มตั้งแต่การออกตัวที่จะต้องโยกจากตำแหน่ง N->D  ซึ่งจะต้องเหยียบเบรกก่อนผลักคันเกียร์ลง เนื่องด้วยระบบ Safety     และถ้าต้องการเลื่อนมาที่ตำแหน่ง W จะต้องกดปุ่มบนหัวเกียร์      ทันทีที่ปล่อยโยกคันเกียร์ลงมาที่ D และพร้อมออกตัวอย่างเร็วในจังหวะไฟเขียว หลายครั้งที่ออกตัวแล้วรถ จะมีอาการกระตุกจากระบบส่งกำลัง   และบางครั้งที่เร่งแซง แล้วต้องการยกคันเร่งออกเพื่อให้ตัดเกียร์ขึ้น  แต่เกียร์ก็ยังคิดได้ช้าไม่ตัดขึ้นเกียร์ให้ยัง Hold รอบเครื่องไว้อยู่จนหลายครั้งที่เราวงรำคาญจนต้องใช้วิธี Shift เกียร์ขึ้นเอง

นอกจากนั้น  หาก Shift เกียร์ลงเอง  เพื่อที่จะเร่งแซง  หรือ Kick Down  การตอบสนองทำได้เชื่องช้าเหมือนมี ระบบการส่งคำสั่งจากชุดสมองเกียร์จะช้าจนกว่า ซึ่งขัดกับบุกลิกของ ชุดเกียร์ Dual-Clutch ซึ่งปกติทำงานได้ภายในเสี้ยววินาทีซึ่งเหมือนเป็นการส่งคำสั่งที่ช้ากว่าจังหวะการทำงานของชุดเกียร์แบบ เท่านั้น

2014-MG6-TestDrive90

ซึ่งการดันเข้ามาที่โหมด S  จะช่วยให้ลากรอบได้ยาวขึ้น  พร้อม Shift เกียร์ได้เอง  แต่การตอบสนองของการ Shift ช้ามาก   รวมถึงบางจังหวะ  หากเร่งอยู่  ก็ยังไม่ตัดเกียร์ขึ้นให้ หรือ ที่รอบต่ำเกินไปไม่เกิน 1,500rpm  เกียร์ก็จะไม่ยอมขึ้นให้ รวมถึงในการ Shift เกียร์ลง  เพื่อทำ E-Brake ก็อาจสูญเสียจังหวะได้     ซึ่งเราแนะนำว่าหากต้องการเร่งแซง อาจผลักคันเกียร์มาทาง Sport Mode และกระแทกคันเร่งเข้าไปเลย  หากกดคันเร่งในโหมด D แล้วตอบสนองไม่ทันใจนัก

2014-MG6-TestDrive29

ระบบช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ   BRIT Dynamic  ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ Z-Type  อาการช่วงล่างออกหนักแน่น ซับแรงดีทีเดียว   เมื่อผ่านเนินลูกระนาด  รถไม่ออกอาการที่ถือว่าแข็ง หรือตึงตังมากจนอึดอัด   แต่ออกแนวแน่นหนึบตามเอกลักษณ์ของรถยุโรป  ซึ่งถือเป็นจุดที่ดีที่สุดของรถยนต์คันนี้  เพราะได้ไปปรับแต่งกันถึงสนาม Silverstone ประเทศอังกฤษบ้านเกิด

2014-MG6-TestDrive18

นั่นจึงทำให้เรามั่นในใจได้ในการขับขี่ที่อยู่หลังพวงมาลัยรถคันนี้ในทุกช่วงความเร็ว  แม้ระดับความเฉียด 180 กม./ชม. ยังไม่มีอาการหวาดเสียวโคลงเคลงออกมาให้เห็นกันนัก   รวมถึงการเข้าโค้งที่ทำได้อย่างมั่นใจในช่วงความเร็วที่เหมาะสมไม่หวือหวาโยนตัวจนหน้าหวาดเสียว แม้อาจพบอาการหน้าดื้อบ้าง  แต่ก็ไม่ถือเป็นปัญหาใดๆ     มันจึงทำให้เรารู้สึกรัก MG6  คันนี้มากขึ้น เมื่อขับผ่านเส้นทางที่มีโค้งคดเคี้ยว  เพราะระบบกันสะเทือนและ บังคับเลี้ยวให้การตอบสนองที่เป็นธรรมชาติ ขับขี่ได้อย่างสนุกสนานทุกครั้ง

2014-MG6-TestDrive62

พวงมาลัยแบบพาวเวอร์ไฮโดรลิก  วงนี้ต้องเรียนตามตรงว่า  มันช่างไม่เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ในเมืองเอาเสียเลย   เพราะเราไม่สามารถรับรู้ถึงการผ่อนแรงใดๆ   ทันทีที่สาวเคลื่อนออกตัว   การขับรถวนลงจากที่จอดรถหลายชั้นนั้น ช่างเหนื่อยและปวดเมื่อยมือใช่ย่อย  นั่นจึงทำให้การขับขี่เพื่อเน้นความคล่องตัวในเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ลำบากเป็นอย่างยิ่ง     แต่หากขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ ถึงความเร็วช่วงหนึ่ง น้ำหนักพวงมาลัยจะเริ่มเหมาะสมเองตามธรรมชาติสไตล์ของพวงมาลัยแบบพาวเวอร์ไฮโดรลิก  ซึ่งยังคงให้การควบคุมตอบสนองเมื่อเข้าโค้ง หรือบังคับวงเลี้ยวต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม   ให้ความมั่นใจมากขึ้น   เมื่อได้สัมผัสกับการตอบสนองอันดีเยี่ยมแล้ว  จึงอาจทำให้ลืมอาการหนักตึงของมันขณะที่เราวิ่งขับกันในเมืองรถติดไปได้

2014-MG6-TestDrive27

ระบบเบรก   ใช้แบบดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมครีบระบายความร้อน   อีกทั้งมีระบบทำความสะอาดให้ด้วย  ในรุ่น Top   ที่เราได้ขับคันนี้     การตอบสนองของแป้นเบรก  ทำได้ค่อนข้างดีในแบบรถยนต์นั่งขนาดกลาง ดูนุ่มนวล  หนึบเท้าในระดับที่พอเหมาะ ไม่จิกถนนหัวทิ่ม ซึ่งอาจดูไม่เข้ากับบุคลิกของกำลังเครื่องเทอร์โบ  และช่วงล่างการควบคุมที่มาแนวรถสนามนัก

2014-MG6-TestDrive9

สรุปกับรถยนต์ MG6   Fastback    รถแดนผู้ดี  ซึ่งมีจุดเด่นภายนอกที่งดงาม  และภายใน ที่ดูเพียบพร้อมแม้หน้าตาภายในดูออกแนวเรียบๆ และ Look Old Model   แต่เมื่อพินิจถึงรายละเอียด การออกแบบดูขัดแย้งกับการใช้ไปสักหน่อย

เมื่อลองเทียบกันในด้านของสมรรถนะ  ที่โดเด่นจาก ระบบการควบคุมและช่วงล่าง (BRIT Dynamics) ที่ปรับเซ็ตกันจาก Silverstone ประเทศอังกฤษ  แต่ Handling ดูจะหนักเกินไปที่จะใช้งานในเมือง  สำหรับขุมพลังนั้นแม้จะเป็นรถเครื่อง 1.8 ลิตร เทอร์โบ  ให้สมรรถนะเทียบเท่าเครื่อง 2.0   แต่ด้วยระบบส่งกำลังที่ตอบสนองได้ไม่ดีเท่าที่ควร  ทำให้ภาพรวมในการขับขี่อาจยังไม่น่าประทับใจนัก     รวมถึงราคาเมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งในตลาดกลุ่ม C-Segment  ที่มีความจุเครื่องยนต์ไล่เลี่ยกัน  MG6 ยังอาจดูเป็นรถที่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งในตลาด   ด้วยรุ่น 1.8X Fastback Sunroof คันนี้มีราคาอยู่ที่  1.128 ล้านบาท

นอกจากนั้นปัญหา ที่คนส่วนหนึ่งพูดถึงกัน คือ เรื่องความเชื่อมมั่นของผู้บริโภค  เนื่องมีการเปิดตัวลุยตลาดขายรถแล้ว  แต่ยังไม่เห็นศูนย์บริการที่ครอบคลุม ถึงแม้ว่า จะก่อตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรม Eastern Seaboard เหมราช  และการวางแผนเปิดศูนย์บริการ 6 แห่งในกรุงเทพฯ ปริมลฑล และต่างจังหวัดอีก 16 แห่งที่จะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี   แต่ล่าสุดได้เปิดโชว์รูมที่ ถนนเกษตร-นวมินทร์ กันไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาแล้ว

เราคงต้องรอดูกลยุทธ์การทำตลาดที่ดีของ MG Sales  ในอนาคต  เพราะหากไม่คิดจะแข่งขันในด้านราคา  ก็อาจต้องรุกในด้านอื่นๆ  อาทิ   เรื่องของบริการหลังการขายที่ดี    รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ   ขอเอาใจช่วยและรอติดตามชม MG  ในรุ่นใหม่ๆ  ที่เตรียมจะเปิดตัวสู่สาธารณะชนไทย

ชมภาพเพิ่มคลิ๊ก

2014-MG6-TestDrive98

ขอขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) สำหรับรถทดสอบ MG6  Fastback 1.8X  Sunroof   สี Pitch Black  คันนี้   ราคา 1.128 ล้านบาท

ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver


ความคิดเห็น


เรียกดูข่าวตามประเภทยานพาหนะ

ค้นหาข่าวโดยยี่ห้อ