ยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้าขยับตัวด้วยการเผยโฉมยาริส เอทีฟ ทำให้ตลาดรถขนาดเล็กราคาประหยัดคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ต้อนรับงานบิ๊ก มอเตอร์เซลที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้
ออโต้สปินน์ไม่พลาดนำรถซีดานเน้นความประหยัดน้ำมันมาเปรียบเทียบให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณากัน ทั้งนิสสัน อัลเมร่า ซูซูกิ เซียส มิตซูบิชิ แอททราจ และน้องใหม่อย่างโตโยต้า ยาริส เอทีฟ แต่อย่าลืมว่าก่อนตัดสินใจควรทดลองขับและสัมผัสตัวรถอย่างใกล้ชิดก่อน
เปิดตัวทำตลาดมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังได้รับความนิยมด้วยจุดเด่นสำคัญคือขนาดตัวถังที่ใหญ่โตกว่าอีโคคาร์ทั่วไป ความยาวฐานล้อหน้า-หลังอยู่ที่ 2,600 มม. ซึ่งเหนือกว่ารถซับคอมแพกต์บางรุ่น และยังทำให้ตัวถังภายนอกและห้องโดยสารภายในมีความใหญ่โตกว้างขวางกว่าใคร
เมื่อกลางปีที่แล้ว นิสสันยังเอาใจคนรักความสปอร์ตด้วยการนำเสนออัลเมร่า นิสโมที่มีให้เลือก 2 แพ็คเกจ คือ เพอร์ฟอร์แมนซ์ แพ็คเกจ (Performance Package) และ แอโร แพ็คเกจ (Aero Package) ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า
โดยแอโร แพ็คเกจ (Aero Package) จะมาพร้อมการติดตั้งชุดแต่งรอบคันจากนิสโม แอโรคิท ที่จะส่งผลให้การทรงตัว และขับขี่ที่ดีขึ้น ช่วยในการไหลเวียนของอากาศภายนอก ทำให้รถยึดเกาะถนนมากยิ่งขึ้น ส่วนเพอร์ฟอร์แมนซ์ แพ็คเกจ (Performance Package) มาพร้อมช่วงล่างที่ปรับปรุงพิเศษ โดยการปรับค่าสปริง และช็อคอัพให้เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น และยังลดความสูงของรถยนต์เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่มากกว่าเดิม แน่นอนว่าทั้งสองแพ็คเกจให้ความสวยงามสะดุดตาด้วย
ภายนอกของอัลเมร่ารุ่นท็อปไลน์จัดเต็มอุปกรณ์มาให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นไฟตัดหมอก กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว (สำหรับรุ่นนิสโม่ใช้ล้อ 16 นิ้ว) ลูกค้ายังสามารถเลือกติดตั้งไฟตัดหมอก LED คิ้วโครเมียม กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว และอุปกรณ์อื่นๆได้
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่สะดวกสบาย บนคอนโซลตกแต่งสีดำเปียโนแบล็ก แผงประตูและมือจับตกแต่งโครเมียม เบาะสีดำบุผ้าลายใหม่เนื้อผ้าคุณภาพสูง พวงมาลัย 3 ก้านสไตล์สปอร์ตดีไซน์ใหม่กระชับมือที่มาพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย แผงมาตรวัดมีหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Multi Information Display (MID) แบบเรืองแสงสีขาวโดดเด่น
อ็อปชั่นอำนวยความสะดวกจัดเต็มฟังก์ชั่นเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายด้วยระบบนำทางในรถยนต์ ระบบเครื่องเสียงพร้อมเครื่องเล่น DVD และจอภาพทัชสกรีน ซึ่งเชื่อมต่อกับ USB บลูทูธ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีปุ่มสตาร์ท กล้องมองหลังและสัญญาณเตือนกะระยะ ระบบกุญแจอัจฉริยะที่สามารถเปิดกระโปรงท้ายรถได้ พื้นที่บรรทุกสัมภาระ 490 ลิตรบวกกับช่องเก็บของอีกมากมายสไตล์รถที่รองรับการใช้งานทั้งหนุ่ม-สาวโสดและคนที่เพิ่งเริ่มสร้างครอบครัว
เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยครบครัน อาทิ ถุงลม SRS คู่หน้าในทุกรุ่น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA และโครงสร้าง ZONE BODY CONCEPT ที่เน้นความแข็งแกร่งป้องกันการชนด้านข้าง
เครื่องยนต์ของอัลเมร่าเป็นเบนซินบล็อก 3 สูบ ความจุ 1.2 ลิตร รหัส HR12DE DOHC CVTC พละกำลัง 79 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC-CVT มีอัตราประหยัดน้ำมัน 20 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยมลพิษต่ำ ควบคุมการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดและลดการปล่อยไอเสียขณะรถจอดนิ่งสนิทไม่เกิน 3 นาที ด้วยระบบ Idling Stop
ราคาจำหน่ายของนิสสัน อัลเมร่า เริ่มต้นด้วยรุ่น 1.2S เกียร์ธรรมดา อยู่ที่ 4.45 แสนบาท รุ่น 1.2E เกียร์ธรรมดา 4.76 แสนบาท รุ่น 1.2E Sportech ค่าตัว 5.37 แสนบาท รุ่น 1.2V Sportech ราคา 5.8 แสนบาท และรุ่นท็อปไลน์ 1.2VL Sportech ระดับ 6.37 แสนบาท
สำหรับรุ่นนิสโม่จำหน่ายด้วยราคาเริ่มต้น 5.38 แสนบาทไปจนถึง 6.55 แสนบาท
ซูซูกิระบุว่าเซียสคือนิยามใหม่ของอีโค่ คาร์ ด้วยดีไซน์เน้นความสปอร์ตและการออกแบบห้องโดยสารที่กว้างสบาย ที่ให้พื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวางกว่าใคร เซียสนับเป็นรถซีดานอีโคคาร์รุ่นแรกของซูซูกิ ขึ้นสายการผลิตในประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย
จุดเด่นของเซียสเหมือนกับอัลเมร่า คือขนาดตัวถังที่ยาวถึง 4,490 มม. กว้าง 1,730 มม และสูง 1,475 มม มีขนาดฐานล้อยาว 2,650 มิลลิเมตรหรือยาวกว่าอัลเมร่า 50 มม. โดยมีระยะสูงจากพื้นที่ 170 มม และห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ถึง 565 ลิตรหรือมากกว่าอัลเมร่าพอสมควร
แน่นอนว่าความกว้างขวางภายในห้องโดยสารสามารถก้าวข้ามคู่แข่งระดับอีโคคาร์ขึ้นไปเทียบชั้นรถระดับบีหรือแม้กระทั่งซีเซกเมนท์ก็พอได้ การตกแต่งเน้นโทนอบอุ่นและรองรับการใช้งานได้ทั่วไป เน้นในเมืองเป็นหลัก ออกนอกเมืองก็สามารถขับได้เรื่อยๆ แบบสบายๆ
เครื่องยนต์ใช้บล็อก 4 สูบ ความจุ 1.25 (1,242 cc) ลิตรรุ่นเดียวกับสวิฟท์ ที่ผลิตพละกำลังระดับ 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที โดยมี 5 รุ่นย่อยให้เลือกสรร แบ่งเป็นเกียร์ธรรมดา 2 รุ่นและเกียร์อัตโนมัติซีวีทีอีก 3 รุ่นเน้นความประหยัด
ออโต้สปินน์เคยเข้าร่วมการทดสอบประหยัดน้ำมันของเซียสบนเส้นทางกรุงเทพฯ – พิษณุโลก โดยปรับใช้แอร์ออโต้ที่ 23 องศา พร้อมเปิดความแรงลมแอร์ระดับ 1 เท่ากันทุกคัน ผลปรากฏว่าสามารถทำตัวเลขได้ที่ 22.8 กม.ต่อลิตร
ฟังก์ชั่นที่เพิ่มความสะดวกสบายมีทั้งไฟหน้าโปรเจคเตอร์คุณภาพสูง ระบบ Keyless Entry และ Keyless Push Start ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth สำหรับการรับและวางสายโทรศัพท์ ช่องต่อ USB และ AUX ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เงียบและนุ่มนวลด้วยระบบ NVH ลดเสียงรบกวนและดูดซับแรงสั่นสะเทือน
ระบบความปลอดภัยพอตัว โครงสร้างตัวถังนิรภัยจากเหล็กกล้า TECT ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อม EBD ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมกุญแจรีโมทเปิดกระโปรงท้าย
สำหรับสีภายนอกมี 6 สีคือ Snow White Pearl, Star Silver Metallic, Mineral Grey Metallic, Super Black Pearl, Dignity Brown Pearl Metallic และสีแดงฉูดฉาดซึ่งเป็นสีโปรโมทใหม่อย่าง Ablaze Red Pearl
ราคาจำหน่ายของเซียสเริ่มต้นที่รุ่น GA เกียร์ธรรมดา 4.84 แสนบาท รุ่น GL เกียร์ธรรมดา 5.23 แสนบาท รุ่น GL เกียร์ซีวีที 5.59 แสนบาท รุ่น GLX เกียร์ซีวีที 6.25 แสนบาท และรุ่นท็อปไลน์ RS เกียร์ซีวีที 6.75 แสนบาทซึ่งถือว่าสูงกว่าใครเพื่อน
หากไม่นับโตโยต้า ยาริส เอทีฟ ที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ มิตซูบิชิ แอททราจนับเป็นรถอีโคคาร์ที่มีความสดใหม่ที่สุดเพราะเพิ่งเผยโฉมรุ่นปรับไมเนอร์เชนจ์เมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง โดยมีการเสริมฟังก์ชั่นการใช้งานเอาใจคนรุ่นใหม่อย่างแอปเปิล คาร์เพลย์ (Apple CarPlay) รวมถึงการใช้งานสิริ (Siri) เข้ามาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในแอททราจ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งานอุปกรณ์สือสารและควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ
แอททราจใหม่ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ MIVEC ความจุ 1.2 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 78 แรงม้า ส่งพละกำลังผ่านชุดเกียร์ CVT ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยที่ตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะที่รถยนต์หยุดนิ่งและเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ ‘D’ พร้อม G-Sensor ช่วยเปลี่ยนเกียร์บนทางลาดชันได้แม่นยำ มิตซูบิชิยังการันตีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 23.3 กม./ลิตร
นอกจากนี้ในตัวท็อปของทั้งสองรุ่นยังมีการติดตั้งระบบครูสคอนโทรล เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง เสริมด้วยระบบความปลอดภัยอย่าง ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วที่จะช่วยเตือนและชะลอความเร็วหากมีโอกาสเสี่ยงในการชนกับรถยนต์คันด้านหน้าขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ
นอกจากนี้ในรุ่น GLS-LTD หรือรุ่นท็อปยังมีการตกแต่งพิเศษด้วยเบาะหนังเดินด้ายแดงเพิ่มความรู้สึกสปอร์ต พร้อมมาลัยและคันเกียร์หุ้นด้วยหนัง เชื่อมต่อทุกความบันเทิงผ่าน USB ที่ย้ายมาอยู่ที่คอนโซลเกียร์ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น
ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะถูกนำมาติดตั้งในแอททราจใหม่ด้วยในกรณีที่ระบบตรวจพบวัตถุด้านหน้าขณะที่มีการเหยียบคันเร่งที่รุนแรงผิดปกติ ส่วนเบาะนั่งด้านหลังยังมีเสริมเข็มขัดนิรภัย 3 จุด 3 ตำแหน่ง จุดยึดเบาะเด็ก 2 ตำแหน่ง พร้อมด้วยระบบแจ้งเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับในแอททราจทุกรุ่นย่อย ถุงลมนิรภัยมี 2 ลูกคู่หน้า
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว ด้านหน้ามีไฟเดย์ไลท์ LED และไฟตัดหมอกตกแต่งด้วยโครเมียมที่ดูดีมีระดับ แต่ดีไซน์ในภาพรวมดูเรียบง่าย ไม่มีความหวือหวา เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป
เข้ามาดูในห้องโดยสาร ออกแบบอย่างเรียบง่ายเช่นกันแต่ก็ถือว่าลงตัว เน้นความเท่ด้วยการใช้เบาะหนังสีดำและวัสดุหนังสังเคราะห์ ตัดเย็บด้วยด้ายสีแดง ที่นั่งตอนหลังมีที่พักแขนและช่องวางแก้วน้ำ ยกระดับความสะดวกสบายในการเดินทางไกล พื้นที่เก็บของใต้ฝากระโปรงหลังอยู่ที่ 450 ลิตร
รุ่นท็อปไลน์มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เนวิเกเตอร์รุ่นล่าสุดพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส 6.6 นิ้ว กล้องมองหลัง ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ปุ่มสตาร์ทและระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS (Keyless Operation System)
แอททราจออกจำหน่าย 4 รุ่นย่อย ได้แก่ GLX เกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 4.72 แสนบาท GLX เกียร์ซีวีทีค่าตัว 5.06 แสนบาท GLS เกียร์ซีวีที ราคา 5.61 แสนบาท และรุ่นท็อปที่ถือว่าย่อมเยากว่าคู่แข่ง GLS-LTD 5.99 แสนบาท
โตโยต้าระบุว่า ชื่อรุ่นยาริส เอทีฟ มาจากคำว่า “SMART” และ “ACTIVE” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างองค์ประกอบสำคัญสองประการของรถรุ่นนี้ บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงกลุ่มเป้าหมายที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน
ยาริส เอทีฟ นับเป็นการรุกตลาดอีโคคาร์ตัวถังซีดานครั้งแรกของโตโยต้า ซึ่งน่าจะได้เสียงตอบรับที่ล้นหลามเช่นเคย เห็นได้จากกระแสที่คึกคักมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปล่อยทีเซอร์เรียกน้ำย่อยไปในช่วงสัปดาห์ก่อน
ดีไซน์ภายนอกเน้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโตโยต้า ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์เชื่อมต่อกับกระจังหน้าโครเมียมรมดำ ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ส่วนภายในห้องโดยสารโฟกัสที่ความกว้างขวางสะดวกสบายและพื้นที่ใช้สอยประโยชน์สูงสุด พร้อมเพิ่มความนุ่มนวลด้วยการเพิ่มวัสดุซับเสียงรบกวนรอบคัน
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความบันเทิงมีวิทยุ DVD / CD / MP3 / MP4 / WMA แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 7 นิ้ว พร้อมช่องต่อ USB / HDMI / Micro SD Card / ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ แบบไร้สายบลูทูธ และรองรับระบบ T-Connect นอกจากนี้ยังมีระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่แสดงผลเป็นหน้าจอสวยงาม
อ็อปชั่นมาตรฐานยังมีระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow me home ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยุคใหม่
ขุมพลังขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์เบนซิน DUAL VVT-i บล็อก 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร พละกำลัง 86 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ Super CVT พร้อมรองรับเชื้อเพลิง E20
ไฮไลท์ของรถซีดานอีโคคาร์รุ่นใหม่นี้คือระบบความปลอดภัยที่จัดหนักจัดเต็มที่เป็นมาตรฐานของทุกรุ่นย่อย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมการ ทรงตัว VSC และระบบป้องกันการลื่นไถล TRC ที่สำคัญก็คือถุงลมนิรภัยที่ติดตั้งมาให้ถึง 7 จุด ไม่ว่าจะเป็นคู่หน้า ด้านข้าง ม่านนิรภัย และหัวเข่า
สีตัวถังภายนอกมีให้เลือกทั้ง Dark Blue Mica Metallic (สีใหม่ ) Gray Metallic, Silver Metallic, Quartz Brown Metallic, Super White, Attitude Black Mica และ Red Mica Metallic
ทางด้านราคาของยาริส เอทีฟ มีทั้งหมด 5 รุ่น พร้อมราคาช่วงแนะนำตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม เริ่มจาก รุ่น J Eco ราคา 4.69 แสนบาท รุ่น J ราคา 5.19 แสนบาท รุ่น E ราคา 5.49 แสนบาท รุ่น G ราคา 5.99 แสนบาท และรุ่นท็อป S ราคา 6.19 แสนบาท
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
ความคิดเห็น