หลังจากปล่อยให้รอคอยการเป็นเจ้าของ Ford Ranger Raptor มาอย่างยาวนาน คนที่จองแรกๆก็ได้รับรถกันไปบ้างแล้วมาถึงคิว ฟอร์ด ประเทศไทย ได้จัดทดสอบให้กับ สื่อมวลชนเป็นครั้งแรก เพื่อการพิสูจน์สมรรถนะของ “Ford Ranger Raptor” ว่ามีดีสมค่าตัวหรือไม่ ณ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
เริ่มต้นการทดสอบ Ford Ranger Raptor
คณะสื่อมวลชนได้รับการต้อนรับโดยผู้บริหารฟอร์ด ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร พร้อมรับฟังบรรยายข้อมูลผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ “ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังสร้างสรรค์โดยความเชี่ยวชาญของทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ รวมถึงโปรแกรมการขับขี่อันน่าตื่นเต้นตลอด 2 วัน รวมระยะทาง 596 กิโลเมตร ในการสัมผัสนิยามใหม่ของรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง อีกขั้นของความแกร่งตามแบบฉบับเฉพาะของ Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์)
สิ่งแรกที่ผู้เชี่ยวชาญบอกถึงตัวรถ แร็พเตอร์ ที่ต่างจาก เรนเจอร์ คือ โหมดการขับขี่ที่มีให้ใช้งาน 6 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Normal / Sport / Weather / Mud-Sand / Baja / Rock-Gravel แต่ละโหมดจะเหมาะสมกับการใช้งานในเส้นทางแต่ละแบบ ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้จะได้ใช้งาน ในโหมดต่างๆ และ ช่วงล่างที่แตกต่างกันโดยการสร้าง แชสซี ขึ้นมาใหม่เพื่อ แร็พเตอร์ เท่านั้น โดยรวมอยาจจะเหมือน เอเวอเรสต์ แต่ความแข็งแรงต่างกันมาก สิ่งหลักๆที่แตกต่างกัน
เริ่มต้นการเดินทางรถทั้งหมดเตรียมพร้อมทุกสีขาดเพียงสีขาว ภายนอกคงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะ หลายท่านก็คงจะเห็นกันแล้วแต่ที่แน่ๆ คือ คันใหญ่ กว่า เรนเจอร์ ปกติอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อจอดข้างกัน ออกจากโรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร ซึ่งการจราจรที่หนาแน่น ทำให้เห็นได้ชัดว่า ต้องระวังกว่าปกติ เพราะตัวถังที่มีขนาดใหญ่ ดีที่ตัวรถที่มีความสูงทำให้มองได้ชัดเจนขึ้น
พอพ้นออกจากตัวเมือง ทางทีมงานก็ได้เริ่มเปลี่ยนโหมดเป็น Sport ในการขับขี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การลากรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น ใช้ให้การตอบสนองที่ดีกว่าไม่ต้องรอรอบเครื่องมาก ยกคันเร่งแล้วเกียร์ก็ยังอยู่ที่เกียร์ต่ำเพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ทันใจ พร้อมเสียงที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ แร็พเตอร์ ทำให้รู้สึกถึงกำลังเครื่องยนต์ ด้วยความเร็วที่ 100 km รอบเครื่องอยู่ประมาณ 1,800 รอบในโหมด Normal ทำให้ประหยัดมากขึ้น
สิ่งที่แตกต่างจาก เรนเจอร์ ในการขับขี่บนถนนหลวง คือ แร็พเตอร์ เป็นรถที่มีช่วงล่างที่นุ่มนวลกว่ามาก แต่ไม่นิ่มจนย้วยรู้สึกได้ว่าล้อทั้งสี่สามารถยึดเกาะถนนได้ดีตลอดเวลา แม้จะเปลี่ยนเลนส์ด้วยความเร็ว คนนั้นเบาะหลังก็ไม่รู้สึกถึงอาการสะท้านเหมือนรถกระบะทั่วไป
เสียงที่เข้ามาในห้องโดยสารเรียกว่าทำได้ดีกว่า เรนเจอร์ แต่เรื่องอัตราเร่งนั้นน่าจะแพ้ เรนเจอร์ด้วยขนาดที่ใหญ่โต ล้อที่ใหญ่ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความเร็วเพราะเสียงที่เงียบทำให้ผู้ขับลืมมอง ไปเลยว่าความเร็วผ่านไปที่กดหมายกำหมดแล้ว
เดินทางมาจนถึงปราจีน ขึ้นด้านหลังของเขาใหญ่ อัตราเร่งที่รู้สึกว่าหน่วงๆ แต่แรงบิด มีถึง 500 นิวตันเมตร ทำให้การขึ้นเขาเป็นไปอย่างง่ายดาย พวงมาลัยที่ตอบสนองได้ดีพร้อมช่วงล่าง เรียกว่าขับอย่างสนุกสนาน
เมื่อเดินทางมาถึง สนาม 8 Speed เขาใหญ่ ก็ถึงเวลาที่ทางทีมงาน ฟอร์ด ได้เตรียมบททดสอบในแต่ละสถานี้เพื่อให้ได้ขึ้นโหมดการขับขี่ในแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปีนขึ้นภูเขาหิน, เนินสลับ, การลุยน้ำ, การขับขี่บนหญ้าที่เปียกลื่น, และการโดดเนิน ในแต่ละโหมดพวงมาลัยจะมีการปรับเปลี่ยนอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย
มาถึงการขับขี่ สถานีต่างๆ บอกได้เลยว่า รถกระบะในตลาดก็สามารถผ่านอุปสรรค์ได้ แต่ไฮไลท์ อยู่ที่การโดดเนิน ที่รถเดิมๆ ด้วยกันในตลาดไม่สามารถทำได้แน่นอน
สถานีนี้สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร?? คำถามจากหลายๆคน บอกได้ว่า เพื่อโชว์เท่านั้นว่ารถคันนึ้สามารถโดดได้จริง เพราะชีวิตจริงใครจะนำรถราคาเป็น ล้านมากระโดดกัน แต่ แร็พเตอร์ ที่ถูกสร้างให้มีความแข็งแรงตั้งแต่แชสซีส์ที่มีความแข็งแกร่ง ทนต่อแรงบิด และแรงกระแทกโดยเฉพาะ รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบรับกับการขับขี่แบบออฟโรดความเร็วสูง จากชุดโช้คอัพ Fox Racing Suspension ที่ออกแบบให้มีระบบวาล์วบายพาสภายในตัว (ด้านหน้าไม่มีซับแท้งค์) แต่ด้านหลังมีกระบอกซับแท้งค์ระบายความร้อน ปีกนกเป็นแบบอลูมิเนียมฟอร์จขึ้นรูปทั้งระบบ ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริง ทำงานร่วมกับระบบวัตต์ลิงค์
ซึ่งทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้ Ford Ranger Raptor ก็แสดงให้เห็นได้ว่ามันทำได้และทำได้ดีด้วย วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 80 km ขึ้นเนิน ตัวรถลอยจากพื้นลงมาตัวรถสามารถควบได้ตามปกติไม่มีอาการ ดิ้นหรือสบัดแต่อย่างไร ถ้าเทียบกับชีวิตบนท้องถนนเมืองไทย คือการขึ้นสะพานด้วยความเร็วผู้ขับขี่ลืมเบรคก่อนถ้ารถทั่วไปอาจจะเสียอาการได้แต่ แร็พเตอร์สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
เรียกได้ว่า บางครั้งภาพในการโฆษณาชวนเชื่อก็อาจจะถูกสร้างขึ้นให้ดูมีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่เมื่อได้พิสูจน์ด้วยตัวเองพร้อมทั้นนักข่างทั้ง 60 ชีวิตใน 2 รอบ พร้อมเนินกระโดดที่มีอยู่ 2 ลูก ก็คำนวนกันเล่นๆว่า แร็พเตอร์ต้องโดนหนักแค่ไหนกัน ถ้ารถไม่ทนจริงก็คงพังกันไปข้างนึง แร็บเตอร์ถูกสร้างตรงตามนิยาม "เกิดมาแกร่ง"จริงๆ
วันที่สองสำหรับการทดสอบ Ford Ranger Raptor
หลังจากกระโดดกันอย่างหนักหนา ทาง ฟอร์ด ประเทศไทย ยังต่อด้วยการทดสอบการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูงในเส้นทางกว่า 10 กิโลเมตร ในโหมด BAJA (โหมดบาฮา) ซึ่งเป็นเส้นทางทุรกันดาร กรวด/หิน/ดิน/ทราย/โคลน ครบทุกสภาพถนนที่สามารถเจอได้ในทุกรูปแบบการขับขี่
โดยการขับด้วยโหมด BAJA นั้น ระบบจะทำการปิดระบบช่วยเหลือของตัวรถทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Traction Control หรือ ABS เพื่อให้สามารถเข้าถึงอารมณ์ของการขับขี่ได้อย่างแท้จริง ในการขับขี่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ โช้คอัพที่ทำงานอย่างเต็มที่ในทุกสภาพถนน เส้นทางหินกรวดสลับหลุมต่างๆใช้ความเร็วไปถึง 120km
ตัวรถมีอาการโยนน้อยมากมีการซับแรงกระแทกตามหลุมได้อย่างดี พวงมาลัยตอบสนองในการเลี้ยวเข้าโค้งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และเมื่อรถเสียอาการ ระบบช่วยเหลือก็ควบรถให้เข้ามาอยู่ในทางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพถึงแม้ผู้ขับขี่จะไม่ชำนาญมากก็ตาม แต่เหนือสิ่งอื่นใดถ้าความเร็วที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ท้ายที่สุดนี้ คงต้องบอกว่าคำเดียวว่า Ford Ranger Raptor นี้ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครเพราะมันไม่มีใครให้เปรียบ แต่ให้ดีแค่ไหนก็จะมีข้อเสียอยู่ดีแยกมาเป็น
ข้อเสียของ Ford Ranger Raptor
ตัวรถที่ใหญ่มากซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ในเมือง การซ่อมบำรุงเช่น ยางหรือโช้คอัพ เสียหายค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แอร์ตอนหลังไม่มี อุปกรณ์การตกแต่งภายในสู้ Wildtrak ไม่ได้ พวงมาลัยปรับได้แค่ขึ้นลง
ข้อดีของ Ford Ranger Raptor
คุณไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แร็พเตอร์จะพาคุณไปได้ทุกที่ ช่วงล่างที่มีประสิทธิภาพที่ดีทำให้มั่นใจในการขับขี่ ให้ความนุ่มนวลและยึดเกาะถนนได้ดี ลุยถนนในประเทศไทยที่ไม่รู้ว่าหลุมอยู่ตรงไหนโดยรถไม่เสียอาการ
ถ้าคุณไม่มีปัญหาเรื่องเงินพร้อมที่จะจ่ายและมีชีวิตในการเดินทางหรือชีวิตที่อยู่ในสวนหรือต้องลุย แร็พเตอร์จะตอบโจทย์คุณได้ (การทดสอบต่างๆอยู่ในสถานที่ควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญ)
เช็คราคารถใหม่ และโปรโมชั่น ได้ที่นี่ ที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสอง ตรวจสอบราคารถยนต์มือสอง เชิญที่นี่
มาร่วมแชร์ความเห็นของคุณบนเวบบอร์ด Autospinn คลิกที่นี่
ความคิดเห็น