รถยนต์นั่งแบบ SUV จัดเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ทว่ารูปทรงของรถสไตล์นี้มักจะมาในดีไซน์ที่เหมาะกับครอบครัวมากกว่า แต่ GLC 300 e Coupe เป็น SUV ที่นำเอาดีไซน์ของรถสปอร์ตเข้ากับรถ SUV ได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์คนที่อยากได้รถใช้งานที่ยังมีความซิ่งอยู่บ้าง และได้ความแรงสไตล์สปอร์ต
Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupe AMG Dynamic
Mercedes-Benz GLC Class จัดเป็นรถยนต์นั่งแบบ SUV ขนาดกลางรุ่นยอดนิยมจาก Mercedes-Benz โดยรถรุ่นนี้จะมีตัวถังแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ GLC รุ่นปกติ ที่มีตัวถังท้ายตัดเหมือนกับรถ SUV ที่เราพบเห็นได้อยู่ทั่วไป และ GLC Coupe รถ SUV ทรงท้ายลาดสไตล์รถสปอร์ตที่เราจะมาทำความรู้จักกันในวันนี้ว่า มีเหตุผลใดบ้างที่เราควรเลือกเจ้ารถคันนี้ กับราคาค่าตัวที่สูงกว่ารุ่นมาตรฐานราว 3 แสนบาท กับดีไซน์ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ให้อารมณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน
โดยในการรีวิวครั้งนี้ เราอยู่กับรถยนต์ SUV สไตล์สปอร์ตแบบ Plug in Hybrid ที่พกพามาทั้งดีไซน์ที่โดนใจ พร้อมพละกำลังความแรงอันมหาศาลกับ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic
ภายนอก GLC 300 e Coupe
ดีไซน์ภายนอกของ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนกับรถยนต์ SUV แบบปกติ ด้วยความที่พกพา DNA รถสปอร์ตมาด้วย ถ่ายทอดผ่านดีไซน์หลังคาลาดของตัวรถที่มีการออกแบบให้มีลายเส้นที่ดูอ่อนช้อยและสวยงาม ผสมผสานเข้ากับความเซ็กซี่ได้อย่างลงตัว ภาพรวมของตัวรถออกแนวดูหวานๆ แต่ก็ผสมความเปรี้ยวเอาไว้ไม่น้อย
ด้านหน้าของตัวรถ กระจังหน้าแบบไดม่อนกริล พร้อมโลโก้รูปดาวขนาดใหญ่ โดดเด่นเป็นสง่าที่ซ่อนตัวเรด้าตรวจจับวัตถุด้านหน้าของตัวรถ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์เตือนการชนแบบจัดเต็ม
ไฟหน้าแบบ Multibeam LED ที่เป็นเทคโนโลยีไฟหน้าระดับแถวหน้าในตลาดของรถยนต์ขณะนี้ ด้วยประสิทธิภาพของหลอดไฟ LED จำนวน 84 หลอดที่บรรจุอยู่ภายในที่ทำงานเป็นอิสระจากกัน ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุภายนอก ส่งผลให้ไฟหน้าตัวนี้มีความฉลาดเป็นมาก มันสามารถส่องสว่างได้ไกลมากถึง 650 เมตร และสามารถปรับแสงไฟหลบรถยนต์ที่ใช้ร่วมทางกับเราได้ ทั้งรถที่เรากำลังขับตาม และรถคันที่ขับสวนเรามาได้โดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้เราอ่านป้ายเตือนต่างๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยตัวไฟหน้าจะสามารถปรับลดแสงสะท้อนของป้ายเตือนได้เอง ในจุดนี้ถือว่าทำได้ดีมากๆ
เมื่อมองตัวรถจากทางด้านข้างจะเห็นได้ว่าส่วนหลังคาของตัวรถจะมีความลาดไปด้านหลังค่อนข้างมาก เป็นงานออกแบบที่ผสานกันระหว่างรถ SUV และรถสปอร์ตได้อย่างลงตัว โดยบริเวณด้านล่างยังมีบันไดสำหรับใช้ขึ้นรถมาให้อยู่ แต่ด้วยความสูงของตัวรถที่ไม่ได้สูงมากนัก สามารถเข้าไปนั่งปกติแบบรถยนต์นั่งทั่วไปได้ ไม่จำเป็นต้องใช้บันไดแต่อย่างไร แต่มันก็ช่วยทำให้ตัวรถดูแข็งแกร่งขึ้นได้ไม่เบา
ล้อของตัวรถ ใช้ล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ของ AMG ดีไซน์สปอร์ตขนาด 20 นิ้ว โดยด้านหน้ารัดยางขนาด 255/45 R20 ส่วนด้านหลังรัดยางขนาด 285/40 R40
ด้านหลังของ Mercedes-Benz GLC 300 e Coupé ตัวรถดูมีความสปอร์ตเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างจากรถ SUV ปกติอย่างสิ้นเชิงด้วยประตูห้องสัมภาระด้านหลังที่มีความลาดเอียงสูง มีระบบเตะเปิด เพื่อความสะดวก ไฟท้าย LED แบบสปอร์ต ส่วนท่อไอเสียก็มาในดีไซน์สปอร์ตด้วยเช่นเดียวกัน
บริเวณด้านขวาของกันชนหลัง จะเป็นตำแหน่งของช่องชาร์จแบตเตอร์รี่ระบบไฮบริด รองรับการชาร์จกับไฟบ้านได้ด้วยชุดชาร์จแบตฯ ที่ติดรถมา โดยระบบไฮบริดในรถรุ่นนี้สามารถใช้ขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้ระยะทางสูงสุดถึง 50 กิโลเมตรต่อ 1 การชาร์จเลยทีเดียว เรียกได้ว่าคนที่ขับรถระยะทางต่อวันไม่เยอะมาก แทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันเลยทีเดียว
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังมาพร้อมกับม่านบังสายตา โดยมาพร้อมกับความจุถุง 350 ลิตร และเมื่อพับเบาะนั่งด้านหลังแล้วจะได้พื้นที่เก็บสัมภาระความจุมากถึง 1,250 ลิตรเลยทีเดียว
เข้ามาด้านในของตัวรถ ยังคงความกว้างสไตล์ SUV อยู่ แต่ตัวเพดานของตัวรถจะมีความลาดลงมาบ้าง อาจจะต้องก้มตัวเพื่อเข้าไปในห้องโดยสารเล็กน้อย ตามสไตล์ของรถสปอร์ตคาร์ทั่วไป ทว่าพื้นที่ภายในห้องโดยสารยังคงความกว้างขวาง โอ๋อ่า และหรูหราตามสไตล์ Mercedes-Benz อยู่ และช่วยเสริมความโปร่งของห้องโดยสารด้วยหลังคาซันรูฟที่สามารถเปิด-ปิดได้ ด้วยระบบไฟฟ้า
การตกแต่งภายในเน้นหนักไปที่โทนสีดำโดยใช้วัสดุหนังเป็นหลัก ตัดกับลายไม้สีดำเพิ่มความหรูหราโดยยังคงความซิ่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับเบาะนั่งสไตล์สปอร์ต สามารถปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้าแบบละเอียดยิบ พร้อมเซฟการตั้งค่าได้มากถึง 3 แบบ ทั้งฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า โดยเจ้าโปรไฟล์การปรับตำแหน่งการนั่งของตัวรถ จะควบคุมการทำงาน 3 จุดหลักๆ ได้แก่ ตำแหน่งเบาะนั่ง, ตำแหน่งกระจกมองข้าง และตำแหน่งของพวงมาลัย
การตกแต่งบริเวณรอบห้องโดยสารเลือกใช้วัสดุไม้สีดำในการตกแต่งหลายจุด ช่วยทำให้ภายในตัวรถมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่ามันมาพร้อมกับไฟ Ambient Light ที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 64 เฉดสีด้วยกัน หรือหากไม่อยากคัสต้อมสี เราก็สามารถตั้งให้รถเปลี่ยนสีไปเองเรื่อยๆ ได้สไตล์ไฟ RGB
ระบบเครื่องเสียงสุดพรีเมี่ยมจาก Burmester ประดุจยกห้องฟังเพลงมาไว้ในรถยนต์
พวงมาลัย 3 ก้าน มัลติฟังก์ชั่นดีไซน์สปอร์ตแบบท้ายตัด เป็นศูนย์รวมการควบคุมระบบการทำงานภายในตัวรถแทบจะทุกอย่าง โดยพวงมาลัยฝั่งซ้ายจะเป็นส่วนควบคุมการทำงานของระบบบนหน้าจอเรือนไมล์ของตัวรถ และควบคุมการทำงานของระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน, ระบบจำกัดความเร็ว และตั้งระยะเว้นห่างจากรถคันหน้าสำหรับการใช้งานในโหมด Brake assist
สำหรับการปรับพวงมาลัย สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งสามารถเซฟโปรไฟล์การตั้งค่ารวมไว้กับการปรับตำแหน่งเบาะนั่งและตำแหน่งกระจกมองข้างได้เลยในอันเดียว
หน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ All-Digital Instrument Display ขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว แสดงผลอย่างชัดเจนในทุกสภาพแสง สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลได้ 3 แบบ ได้แก่ Classic, Progressive และ Sporty ช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกข้อมูล ที่สำคัญ และประเภทการแสดงผลข้อมูลดังกล่าวได้ตามสไตล์ของตนเอง
หน้าจอมัลติมีเดียขนาด 7 นิ้ว รองรับการทำงานของระบบ MBUX ผู้ช่วยอัฉริยะของคุณ โดยหน้าจอนี้จะทำหน้าที่ควบคุมระบบอำนวยความสะดวกภายในรถทั้งหมด รวมถึงระบบความบันเทิงต่างๆ ครบวงจร และยังรองรับการเชื่อมต่อด้วย Apple CarPlay และ Android Auto
ห้องโดยสารด้านหลัง จัดว่ากว้างขวางกว่าที่มองเห็นได้จากด้านนอกที่เป็นหลังคาลาด โดยพื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลังมีความโปร่ง โล่งสบายเลยทีเดียว พื้นที่วางขาเหลือเฝือต่อการนั่งโดยสารระยะทางไกล ส่วนตัวเพดานรถที่แม้ว่าจะดูลาดลงเหมือนจะแคบ แต่ภายในกลับกว้างขวางเลยทีเดียว โดยตัวผมมีความสูง 168 ซม. มีพื้นที่เหนือศรีษะเหลืออยู่ราวๆ 1 กำปั้นเลยทีเดียว
สิ่งอำนวยความสะดวกด้านหลังประกอบด้วนม่านบังแสง, ช่องชาร์จมือถือแบบ USB-C จำนวน 2 ช่อง พร้อมช่องจุดบุหรี่ 1 ช่อง, ช่องแอร์ 2 ช่อง ปรับระดับความแรงลมได้, ที่วางแขนบริเวณตรงกลาง พร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 จุด ส่วนบริเวณประตูก็มีที่วางขวดน้ำมาให้ฝั่งละ 1 จุดเช่นกัน
ระบบความปลอดภัยเด่นๆ ใน GLC 300 e Coupé
- ระบบช่วยเบรกแบบ Adaptive brake
- ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า
- ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ
- ระบบเตือนมุมอับสายตา
- เซ็นเซอร์รอบคัน
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน (คู่หน้า, หัวเข่าคนขับ, ด้านข้าง ป้องกันศรีษะ)
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
- กล้องรอบคันความคมชัดสูง
- Mercedes me connect
สิ่งอำนวยความสะดวกเด่นๆ ใน GLC 300 e Coupé
- เบาะนั่งปรับไฟฟ้าคู่หน้า
- ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติแบบอัจฉริยะ Multibeam LED
- ไฟหน้าเลี้ยวตามพวงมาลัย
- ระบบเพิ่มความสว่างในโค้
- ระบบไฟสูง ระยะส่องสว่าง 650 เมตร
- ซันรูฟไฟฟ้า
- ม่านกันแสง ที่ผู้โดยสารตอนหลัง
- ช่องแอร์ด้านหลัง
- Apple CarPlay
- ฝาท้ายไฟฟ้า
- กุญแจคีย์เลส
เครื่องยนต์และเกียร์ GLC 300e Coupe
ในส่วนของระบบขับเคลื่อนใน Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียงขนาด 1,991cc เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลังถึง 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานผสานกันกับเครื่องยนต์สันดาป จะสร้างพละกำลังสูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในระยะเวลาเพียง 5.8 วินาทีเท่านั้น
โดยในโหมดการขับขี่แบบใช้ไฟฟ้าล้วน สามารถขับได้ไกลถึงได้ 50 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เรียกได้ว่าใครที่เป็นคนใช้รถยนต์น้อย ในแต่ละวันขับรถไม่ได้ไกลมาก ก็แทบจะไม่จำเป็นต้องไปเติมน้ำมันรถกันเลยทีเดียว ชาร์จแบต ขับไฟฟ้าเอาอย่างเดียวได้สบายๆ
โหมดการขับขี่ใน Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic มีทั้งหมด 5 โหมดด้วยกัน และอีก 1 โหมดที่เราสามารถปรับแต่งการตั้งค่าการใช้งานต่างๆ ได้ด้วยตนเอง (โหมด Individual) โดยทั้ง 5 โหมดนี้จะมีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันออกไป และมีการตั้งค่าที่แตกต่างกัน โดยสามารถอธิบายโดยสรุปได้ดังนี้
โหมด Eco - เป็นโหมดที่เน้นการประหยัดพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมากที่สุด โดยจะเลือกใช้พลังการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก และถ้าหากมีการเหยียบคันเร่งมากขึ้น ระบบจะเริ่มการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป เพื่อช่วยกันรีดอัตราเร่งออกมาอย่างรวดเร็วและเรียบเนียน
โหมด Battery Level - เป็นโหมดที่เน้นการประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากที่สุด โดยตัวรถจะใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการออกตัวเท่านั้น โดยเมื่อรถเริ่มวิ่งลอยตัว จะหยุดการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และหันมาใช้เครื่องยนต์สันดาปแทน และเมื่อเรายกคันเร่งปล่อยรถไหล หรือจังหวะลงจากทางลาดชัน ระบบก็จะตัดการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป และปั่นไฟฟ้ากลับเข้าไปยังแบตเตอร์รี่ไฮบริด
โหมด Electric - โหมดการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ 100% โดยจะต้องมีปริมาณแบตเตอร์รี่ที่ทำระยะทางขับขี่ได้มากกว่า 1 กิโลเมตร จึงจะสามารถใช้งานโหมดนี้ได้
โหมด Comfort - ทำงานคล้ายกับโหมด Eco แต่จะมอบอัตราเร่งที่ดีกว่า และแน่นอนว่าบริโภคน้ำมันมากกว่าเล็กน้อย
โหมด Sport - เป็นโหมดที่เน้นการใช้งานเครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก โดยจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเรียกพละกำลังความแรงเท่านั้น เช่นการออกตัว หรือการเร่งแซง
Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic สเป็คและราคา
เครื่องยนต์ | 4 สูบเรียง 4 วาล์วต่อสูบ พร้อมเทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้า |
ปริมาตรกระบอกสูบ | 1,991 ซีซี |
พละกำลังสูงสุด | 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที |
แรงบิดสูงสุด | 350 นิวตันเมตร ที่ 1,300 - 4,000 รอบ/นาที |
กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า | 122 แรงม้า |
แรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า | 440 นิวตันเมตร |
พละกำลังรวมสูงสุด | 320 แรงม้า / แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร |
เกียร์ | เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9 G Tronic) |
ระบบขับเคลื่อน |
4 ล้อ |
อัตราเร่ง 0-100 | 5.8 วินาที |
ความเร็วสูงสุด | 230 กม./ชม. |
ระบบกันสะเทือนหน้า / หลัง | แมคเฟอร์สันสตรัท / ปีกนกคู่ |
ระบบเบรคหน้า/หลัง | ดิสเบรค พร้อมครีบระบายความร้อน |
ขนาดยางล้อ | คู่หน้า 255/45 R20 คู่หลัง 285/40 R20 |
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง | 50 ลิตร |
ราคา | 4,040,000 บาท |
มิติรถ
ขนาด ยาว x กว้าง x สูง (มม.) | 4,731 x 1,890 x 1600 |
การขับขี่ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé
ในส่วนของการทดสอบขับขี่ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé ผมมีโอกาสขับขี่รถยนต์คันนี้เป็นระยะทางรวมราวๆ 400 กิโลเมตร ทั้งการขับในเมือง และการขับขี่ทางไกล โดยผมจะขอแยกหัวข้อระหว่างการขับในเมือง และการขับทางไกลออกจากกัน
การขับในเมือง
การขับ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé ถือว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะท่านที่มีระยะทางเดินทางในแต่ละวันรวมกันแล้วไม่เกิน 40-50 กิโลเมตร คุณแทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันรถกันเลยทีเดียว ขอเพียงแค่ชาร์จแบตเตอร์รี่ไฮบริดเป็นประจำทุกวันเท่านั้นเอง
อัตราเร่งที่ได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนนั้นบอกเลยว่าเหลือเฝือสำหรับการขับขี่ในเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีพละกำลังที่มหาศาลมากๆ กดเป็นมาไม่มีรอรอบแบบเครื่องสันดาปแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกใจสายซิ่ง แถมประหยัดพลังงานด้วย โดยการขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้านั้นจะมีค่าพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยตกกิโลเมตรละ 1 บาทเท่านั้นเอง
ด้านโหมดการขับขี่ที่ขอแนะนำสำหรับการขับในเมืองนั้น โดยส่วนตัวผมมองว่าโหมด Electric ที่เป็นการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนๆ หรือจะเป็นโหมด Eco หรือ Comfort ก็ถือว่าสามารถใช้งานได้ดีทั้งสิ้น เพราะโหมดเหล่านี้จะเน้นใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเปิดใช้งานเครื่องยนต์สันดาปเมื่อมีการใช้งานความเร็วที่สูงมากขึ้น หรือต้องการอัตราเร่งที่มากกว่าที่มอเตอร์ไฟฟ้าให้ได้
ในส่วนของช่วงล่างของตัวรถ สำหรับการใช้งานในเมือง ช่วงล่างติดรถถือว่าสามารถซับความไม่เรียบเนียนของถนนได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีอารมณ์เด้งบ้างเล็กน้อยตามสไตล์สปอร์ตมาบ้างพอให้ได้ขยับตัวเล็กๆ แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าเป็นช่วงล่างที่ดีงามมากๆ สำหรับการขับขี่ในเมือง
ทัศนวิสัยการขับขี่ในเมือง จัดว่ามองได้ง่าย ด้วยกระจกบานหน้าที่มีขนาดใหญ่ กับตำแหน่งของเสา A ที่ไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก ทำให้มุมมองการขับขี่ในเมืองนั้นแทบจะไร้มุมอับ อีกทั้งยังมีเซ็นเซอร์รอบคันรถ, ระบบกล้อง 360 องศาแบบความละเอียดสูงมากๆ และเซ็นเซอร์เตือนมุมอับสายตา เรียกได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับความปลอดภัยแบบจัดเต็มเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ น้ำหนักของพวงมาลัยรถ ถือว่ามีน้ำหนักค่อนข้างเบา ควบคุมการขับขี่ในเมืองจัดว่าง่ายเลยทีเดียว อีกทั้งตัวรถก็มีขนาดใหญ่กำลังดี ไม่ได้ใหญ่จนเทอะทะ หรือเล็กจนอึดอัด จัดว่าเป็นรถรุ่นคุ้มอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ
การขับทางไกล
ในส่วนของการขับ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé เรื่องพละกำลังของตัวรถรุ่นนี้หายห่วง เพราะมันมีกำลังเหลือเฝือการใช้งานมากอยู่แล้ว ส่วนที่เราต้องโฟกัสเป็นหลักเห็นจะเป็นเรื่องของพลังงานแบตเตอร์รี่ไฮบริดที่ควรสำรองไว้บ้างเสียหน่อย เพราะเจ้าแบตเตอร์รี่ไฮบริดนี่แหละคือทีเด็ดในเรื่องของอัตราเร่งของตัวรถ และความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
โดยโหมดการขับขี่ทางไกลที่ผมขอแนะนำอย่างเป็นที่สุด นั่นคือโหมด Battery Level เพราะเป็นโหมดที่มีการรักษาระดับพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอร์รี่ไฮบริดไว้ได้ดีที่สุด และเป็นโหมดที่ช่วยปั่นไฟกลับเข้าไปในแบตเตอร์รี่ไฮบริดได้อย่างดีเยี่ยม โดยจากการทดสอบขับขี่ระยะทาง 170 กิโลเมตร จากปริมาณแบตเตอร์รี่ระบุว่าวิ่งได้อีก 40 กิโลเมตร พบว่าเมื่อขับรถถึงปลายทางยังมีแบตเตอร์รี่ให้ใช้อีกมากถึง 30 กิโลเมตรเลยทีเดียว โดยแบตเตอร์รี่ส่วนนี้เราสามารถนำไปใช้เปิดแอร์ในรถทิ้งไว้ได้สบายนานนับชั่วโมงเลยทีเดียวเชียว
ช่วงล่างในการขับทางไกลจัดว่านุ่มสบายในย่านความเร็วที่กำหนดตามกฎหมาย แต่ถ้าหากคุณเล่นซน ขับเร็วสักหน่อยจะพบว่าช่วงล่างของมันก็จะมีอาการย้วยมาให้เห็นบ้างเล็กน้อย แต่ก็พบได้ที่ย่านความเร็วสูงเกิน 180 กม./ชม. ไปแล้ว
ส่วนการนำรถไปลุยนั้น ด้วยประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น คุณก็ไม่ต้องสนใจเลยว่าสภาพเส้นทางนั้นจะแย่สักแค่ไหน แต่ก็จัดว่าลุยได้ในระดับหนึ่ง เพราะตัวความสูงของรถนั้นก็ไม่ได้สูงกว่ารถเก๋งมากมายนัก เอาว่าลุยได้พอหอมปากหอมคอ อีกทั้งยางยังมาเป็นแบบยางซิ่งด้วย ถ้าอยากเอาไปลุยจริงๆ เปลี่ยนยางสักชุดก็จะพาคุณไปได้ในหลายสถานที่มากขึ้น
ส่วนระบบความปลอดภัยที่ผมถือว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดในรถคันนี้นั่นคือระบบเบรกแบบ Adaptive brake ที่ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า โดยเจ้าระบบนี้ไม่จำเป็นที่ต้องเปิดการทำงานของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆ เลย โดยระบบ Adaptive brake จะทำงานตลอดเวลาไม่ว่าจะขับแบบปกติ หรือเปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน เมื่อระบบตรวจพบว่าคุณขับใกล้กับรถคันหน้ามากเกินกว่าระยะที่ตั้งไว้ ระบบจะทำการลดความเร็วให้อยู่ในระดับเดียวกับรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ จัดเป็นระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้ค่อนข้างมาก
GLC 300 e เลือกได้ว่าอยากแรง หรืออยากรักษ์โลก
โดยปกติแล้ว รถยนต์แบบไฮบริด เรามักจะนึกถึงแต่เรื่องของความประหยัด อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงแบบตัวเลขสุดปังทั้งหลาย ซึ่งเจ้า Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé คันนี้ มันเหมือนคุณซื้อรถยนต์ SUV เครื่องสันดาป แถมฟรีรถยนต์ไฟฟ้าในคันเดียวกัน เพราะมันสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลมากถึง 50 กิโลเมตรต่อ 1 การชาร์จเลยทีเดียว
ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าใน Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อความประหยัดน้ำมันเท่านั้น แต่มันก็สามารถเลือกที่จะเอามาใช้ในความแรงได้ด้วย โดยอัตราเร่งของตัวรถเมื่อใช้งานควบคู่กันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า มอบพละกำลังได้สูงถึง 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตรเลยทีเดียว
โดยจากการทดสอบ ผู้ทดสอบมองว่าการเลือกใช้พลังงานไฟฟ้าของรถคันนี้ สามารถแบ่งประเภทการใช้งานออกได้เป็น 2 รูปแบบหลักๆ ได้แก่
1. เน้นความประหยัด เหมาะสำหรับคนที่เน้นประหยัดน้ำมัน โดยผู้ใช้งานในกลุ่มนี้ผมแนะนำให้ใช้งานโหมดการขับขี่แบบ Eco, Electric หรือ Comfort เป็นหลัก เพราะโหมดเหล่านี้จะเน้นใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักมากกว่าเครื่องยนต์สันดาป โดยจากการทดสอบของผมที่ขับขี่ในเมืองเป็นระยะทางราวๆ 50 กิโลเมตร พบว่ารถเลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับขี่ถึง 90% ของการเดินทางเลยทีเดียว
และถ้าหากชาร์จแบตเตอร์รี่จาก 0-100% ก็ใช้เวลาเพียง 80 นาที แบตเตอร์รี่ก็เต็มแล้ว พร้อมให้ใช้งานขับขี่ต่อได้อีก 50 กิโลเมตรแบบสบายๆ เอาว่าคนที่มีระยะทางขับรถในแต่ละวันไม่มากนัก คุณแทบจะไม่ต้องเติมน้ำมันรถเลยทีเดียว
หรือถ้าคุณอยากถนอมทั้งแบต และเน้นประหยัดพลังงานด้วย ขอแนะนำโหมด Battery Level โหมดนี้ของเค้าดีงามมากจริงๆ ครับ
2. เน้นความแรง เหมาะสำหรับขาซิ่งที่ชอบขับรถเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยพลังแรงบิดกว่า 700 นิวตันเมตรของตัวรถที่มาได้ทันทีที่คุณต้องการ หากคุณมีพลังงานไฟฟ้าเพียงพอในแบตเตอร์รี่ สำหรับผู้ใช้สายนี้เราขอแนะนำให้ใช้โหมด Sport เลย เพราะเป็นโหมดที่เน้นการใช้งานเครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก และเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้งานเมื่อเร่งแซง หรือตอนที่ต้องการแรงบิดมหาศาลโดยเฉพาะ บอกเลยว่าเห็นรถคันขนาดนี้ มันก็ "วาร์ปได้"
สรุป GLC 300 e Coupe เหมาะกับใคร
โดยสรุปแล้ว สำหรับ Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC Coupé เป็นรถ SUV ทรงสปอร์ตที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรถใช้งานในชีวิตประจำวันสักคันที่สามารถนำไปขับใช้งานปกติก็ได้ เดินทางก็ดี หรืออยากหล่อเท่ก็ทำได้ทั้งหมดในคันเดียว ตอบโจทย์ทั้งสายประหยัดพลังงาน และสายซิ่ง บู๊กระหน่ำ ด้วยราคาวางจำหน่ายที่ 4,040,000 บาท ท่านที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz ทั่วประเทศ
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น