Mercedes-Benz GLC รถยนต์นั่งแบบ SUV ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งยวด ด้วยขนาดของตัวรถที่ใหญ่กำลังดี คลอบคลุมทุกการใช้สอย พร้อมเสริมภาพลักษณ์ให้กับเจ้าของรถได้เป็นอย่างดี ในราคาที่คุ้มค่า
Mercedes-Benz GLC SUV ยอดนิยม
Mercedes-Benz GLC Class เป็นรถยนต์นั่งแบบ SUV ขนาดกลางรุ่นยอดนิยมจาก Mercedes-Benz โดยรถรุ่นนี้จะมีตัวถังแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ GLC รุ่นปกติ ที่มีตัวถังท้ายตัดเหมือนกับรถ SUV ทั่วไป และ GLC Coupe รถ SUV ทรงท้ายลาดสไตล์รถสปอร์ต
รีวิว Benz GLC 220 d vs GLC 300 e
โดยในการรีวิวครั้งนี้ เรานำเอาเจ้า GLC ตัวถังแบบท้ายตัด รุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งยวดเนื่องด้วยประโยชน์ใช้สอยของมัน กับ 2 รุ่นย่อยที่มีราคาเท่ากันเป๊ะที่ 3,699,000 บาท กับ Mercedes-Benz GLC 220 d AMG Dynamic และ Mercedes-Benz GLC 300 e 4 matic AMG Dynamic มาดูกันว่าราคาเท่ากัน ต่างกันตรงเครื่องนั้น มีอะไรที่ต่างกันอีกบ้าง และเราควรเลือกคันไหนกันแน่
ภายนอก GLC
ดีไซน์ภายนอกของ Mercedes-Benz GLC มาในรูปแบบของรถยนต์ SUV ยกสูงสไตล์รถครอบครัวที่เน้นเรื่องการโดยสาร นั่งสบาย รองรับการเดินทางในทุกรูปแบบ ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูสุภาพ ทำให้รถรุ่นนี้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ขับมาแต่ไกลก็คาดเดาได้เลยว่าผู้ขับขี่ย่อมมีอายุอยู่ราวๆ 30 ปีขึ้นไปอย่างแน่แท้ ด้วยรูปลักษณ์ของตัวรถที่มีความเป็นรถครอบครัวนั่นเอง
ด้านหน้าของตัวรถทั้ง GLC 220 d และ GLC 300 e มีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างยิ่ง กระจังหน้าแบบไดม่อนกริลทั้งคู่ ตกแต่งด้วยชุดแต่ง AMG Bodystyling มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ Multibeam LED
หากจะจับสังเกตุว่ารถคันใดเป็นรุ่นไหน ให้มองบริเวณโลโก้ด้านหน้าของตัวรถ โดย GLC 220 d จะมีกล้องติดตั้งอยู่บริเวณใต้โลโก้ตราดาวของแบรนด์ อันเป็น 1 ใน 4 ของระบบกล้อง 360 องศาของตัวรถนั่นเอง
ส่วนฝั่ง GLC 300 e จะไม่มีกล้องด้านหน้า
ถัดมาที่มุมมองด้านข้างของตัวรถ จะเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตัวกระจกมองข้างของ GLC 220 d จะมีกล้องติดมาทั้ง 2 ฝั่ง ส่วน GLC 300 e จะไม่มีกล้องติดมา โดยให้จับสังเกตุที่ล้อของตัวรถที่จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยฝั่ง GLC 220 d จะใช้เป็นล้ออัลลอยลาย AMG 5 ก้านคู่ขนาด 19" ตกแต่งด้วยสี Tremolite gray รัดยางขนาด 235/55 R19
ส่วน GLC 300 e จะใช้เป็นล้ออัลลอยลาย AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 20" ตกแต่งด้วยสีดำ แต่ดีไซน์จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง รัดยางขนาด 255/45 R20 ซึ่งจะมีหน้ายางที่กว้างกว่าอย่างชัดเจน และมีแก้มยางที่บางมากกว่า
นอกจากนี้ ระบบเบรกของ GLC 300 e ยังให้เบรกที่มีขนาดใหญ่กว่า พร้อมให้ปั้มเบรก AMG มาให้เลย ซึ่งมีประสิทธิภาพการเบรกที่สูงกว่าตัว GLC 220 d เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยพละกำลังของตัวรถที่มากกว่านั่นเอง
และจุดที่ทำให้รู้ว่านี่คือ Mercedes-Benz GLC 300 e 4 matic AMG Dynamic นั่นคือโลโก้ EQ Power ที่ติดตั้งบริเวณแก้มข้างของรถนั่นเอง
ถัดมาที่ด้านท้ายรถ จะเห็นความแตกต่างได้บริเวณด้านล่างของตัวรถ โดยตัว GLC 300 e จะมีชิ้นกันชนเสริมสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าตัว GLC 220 d อย่างชัดเจน และจุดที่ชี้ชัดไปเลยว่ารถคันไหนเป็นรุ่นไหนก็หนีไม่พ้นรหัสบอกเลขรุ่นตัวรถนั่นเอง ที่ติดตั้งบริเวณฝั่งซ้าย โดยใน GLC 300 e จะมีสัญลักษณ์ 4matic ติดตั้งเพิ่มเข้าไปบริเวณด้านขวาด้วย
โดยรถทั้ง 2 คัน ได้เซ็นเซอร์เตือนการชนรอบคันมาเหมือนกันทั้งคู่
เปิดฝาท้ายออก ดูภายในห้องเก็บของ จะเริ่มเห็นความแตกต่างกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ว่ารถทั้งสองคันจะมีพื้นที่ใช้สอยที่เหลือเฝือทั้งคู่ รวมไปถึงระบบพับเบาะด้วยไฟฟ้า, ช่องต่อไฟฟ้าจะมีมาให้เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างกันนั่นคือด้านความจุด้านสูงของตัวรถที่ต่างกัน โดยฝั่ง GLC 220 d พื้นที่วางของนั้นจะเรียบไปกับตัวรถ แต่ตัว GLC 300 e จะมีความยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย
ส่วน GLC 300 e จะมีพื้นที่เล็กๆ เพียงพอต่อการเก็บรองเท้าเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าพื้นที่ด้านที่ปิดอยู่เป็นตำแหน่งที่อยู่ของแบตเตอร์รี่ระบบไฮบริดนั่นเองครับ ทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระเล็กกว่าระดับหนึ่ง
และเมื่อเปิดฝาปิดออกจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝั่ง GLC 220 d จะมีพื้นที่เก็บของเพิ่มเติมด้านล่างขนาดใหญ่เลยทีเดียว
Mercedes-Benz GLC 2021 ภายใน
ถัดมาภายในห้องโดยสารของ Mercedes-Benz GLC 2021 เริ่มจากผู้โดยสารตอนหลังกันก่อน มีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฝือทั้งคู่ เอาว่าเดินทางไกล นั่งสบายไม่ต่างกัน มีช่องแอร์, ที่วางแขน, วางแก้วน้ำ, ช่องเสียบ USB มาแบบครบๆ ตัวหลังคาก็เป็นซันรูฟเหมือนกันเป๊ะ
แต่ฝั่ง GLC 300 e จะแอบสบายกว่าเล็กน้อยตรงหน้าต่างของเค้าจะมีม่านมาให้ด้วย ส่วน GLC 220 d ไม่มีม่านมาให้
มาดูทางด้านหน้าของตัวรถ Mercedes-Benz GLC จัดว่าเป็นรถที่มีมุมมองการขับขี่ มีทัศนวิสัยการขับขี่ที่เยี่ยมยอดมากๆ ตามสไตล์รถยนต์แบบ SUV ยกสูง เรื่องความสบายก็หายห่วง เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า โดยตำแหน่งเบาะนั่งสามารถเซฟการตั้งค่าได้ 3 โปรไฟล์ อีกทั้งตัวเบาะนั่งจะเลื่อนเข้า-ออกให้โดยอัตโนมัติ เมื่อขึ้น-ลงรถ, ระบบแอร์แยก 2 โซน, หน้าจอมัลติมีเดียตรงกลาง สั่งการด้วยระบบทัชสกรีน หรือจะใช้ Mercedes Me สั่งการด้วยเสียงก็ได้, หน้าจอเรือนไมล์แบบมัลติฟังก์ชั่น บอกข้อมูลการขับขี่ครบครัน หรือจะยกหน้าจอมัลติมีเดียเล็กๆ มาไว้ในเรือนไมล์ก็ทำได้
พวงมาลัยไฟฟ้าแบบมัลติฟังก์ชั่นทรงสปอร์ต มาพร้อมกับปุ่มควบคุมการทำงานของตัวรถเกือบทั้งหมด โดยปุ่มฝั่งขวาจะเน้นเรื่องของระบบการทำงานของตัวรถ ส่วนฝั่งซ้ายจะควบคุมเรื่องความบันเทิงโดยส่วนใหญ่
การตกแต่งภายในห้องโดยสารเน้นไปที่ลวดลายไม้สีดำตัดกับหนังสีดำ มอบสัมผัสที่ดูพรีเมี่ยม มาพร้อมกับไฟ Ambient light ที่สามารถปรับได้มากถึง 64 สีเลยทีเดียว
แม้มองผิวเผนเหมือนจะไม่ต่างกัน แต่ก็มีความต่างกันอยู่บ้างในระดับหนึ่ง เริ่มด้วยระบบเครื่องเสียงที่ฝั่ง GLC 300 e จะให้ชุดลำโพงจาก Burmester มาเลย ส่วน GLC 220 d จะให้ลำโพงดำธรรมดามา
ระบบความปลอดภัย GLC 220 d กับ GLC 300 e 2022
โดยไฮไลท์เด่นระหว่าง GLC 220d และ GLC 300 e ที่ให้มานั่นคือระบบ Adaptive Cruise control ที่ช่วยให้คุณเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบายมากกว่า และระบบช่วยรักษาระยะห่างพร้อมระบบช่วยเบรกด้วย ซึ่งมีการทำงานที่นุ่มนวลมากๆ และดูเป็นธรรมชาติมากๆ ช่วยลดโอกาสขับรถชนท้ายรถคันหน้าได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ที่เพิ่มมาของ GLC 220 d นั่นก็คือเรื่องกล้อง เพราะเค้าให้กล้องรอบคัน 360 องศามาเลย ช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสังเกตุสิ่งรอบๆ ตัวรถได้อย่างแม่นยำ ส่วน GLC 300 e จะได้แค่กล้องมองหลังเท่านั้น
ระบบความปลอดภัยมาตรฐานติดรถ
- ถุงลมนิรภัยรอบคัน
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
- ระบบเบรก ABS
- ระบบ Hold brake
- ระบบเตือนการชน พร้อมระบบช่วยเบรก
- ระบบเตือนมุมอับสายตา
- ระบบล็อกความเร็ว และระบบจำกัดความเร็ว
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง
- เซ็นเซอร์รอบคัน
- ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ
ระบบอำนวยความสะดวกมาตรฐาน
- ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
- ระบบไฟสูงระยะไกลพิเศษ 650 เมตร
- โหมดการขับขี่
เครื่องยนต์ Mercedes-Benz GLC 2021
เครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz GLC 220 d ใช้เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเรียง เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 1,950 cc ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มอบพละกำลังสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 7.7 วินาที
เครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz GLC 300 e 4 Matic ใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 1,991 cc มอบพละกำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,300-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร โดยเมื่อใช้การขับเคลื่อนควบคู่กันแล้ว จะมอบพละกำลังสูงสุดถึง 320 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 700 นิวตันเมตรเลยทีเดียว โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.4 วินาทีเท่านั้น
Mercedes-Benz GLC สเป็คและราคา
GLC 220 d | GLC 300 e | |
เครื่องยนต์ | ดีเซล 4 สูบเรียง พร้อมเทอร์โบ | เบนซิน 4 สูบเรียง พร้อมเทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้า |
ปริมาตรกระบอกสูบ | 1,950 cc | 1,991 cc |
พละกำลังสูงสุด | 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที | 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที |
แรงบิดสูงสุด | 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที | 350 นิวตันเมตร ที่ 1,300 - 4,000 รอบ/นาที |
กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า | - | 122 แรงม้า |
แรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า | - | 440 นิวตันเมตร |
พละกำลังรวมสูงสุด | 194 แรงม้า / แรงบิด 400 นิวตันเมตร | 320 แรงม้า / แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร |
เกียร์ | เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9 G Tronic) | |
ระบบขับเคลื่อน | 2 ล้อหน้า |
4 ล้อ |
อัตราเร่ง 0-100 | 7.7 วินาที | 5.4 วินาที |
ความเร็วสูงสุด | 215 กม./ชม. | 230 กม./ชม. |
GLC 220 d | GLC 300 e | |
ระบบกันสะเทือนหน้า / หลัง | แมคเฟอร์สันสตรัท / ปีกนกคู่ | |
ระบบเบรคหน้า/หลัง | ดิสเบรค พร้อมครีบระบายความร้อน | |
ขนาดยางล้อ | คู่หน้า 235/55 R19 คู่หลัง 235/55 R19 |
คู่หน้า 255/45 R20 คู่หลัง 255/45 R20 |
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง | 66 ลิตร | 50 ลิตร |
ราคา | 3,699,000 บาท |
มิติรถ
ขนาด ยาว x กว้าง x สูง (มม.) | 4,655 x 1,890 x 1644 |
การขับขี่ Mercedes-Benz GLC 220 d AMG Dynamic 2021
ในส่วนของการทดสอบขับขี่ Mercedes-Benz GLC 220 d AMG Dynamic ผมทดสอบการขับขี่ทั้งในเมืองและการเดินทางไกลเป็นหลัก เน้นเรื่องของการใช้งานในสภาพจริงว่าเป็นอย่างไร
สัมผัสแรงของตัวรถคือ เป็นรถที่มีทัศนวิสัยการมองเห็นที่ดีเยี่ยม จุดอับสายตาของตัวรถน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ และยังมีกล้องมองรอบคันแบบ 360 องศาคุณภาพสูงที่ช่วยทำให้การขับขี่ง่ายมากยิ่งขึ้น
ตัวเบาะนั่งไฟฟ้าทรงสปอร์ตหุ้มหนัง Artico ช่วยให้ทุกการเดินทางสะดวกสบาย เพราะว่าเราสามารถปรับแต่งค่าต่างๆ ของตัวเบาะนั่งได้อย่างละเอียด แต่จะมีติหน่อยตรงคอนโซลกลางของตัวรถที่แอบเบียดขาซ้านอยู่พอสมควร ถ้ากว้างกว่านี้จะนั่งสบายกว่านี้เยอะ
พละกำลังของเครื่องยนต์ใน GLC 220 d มีลักษณะที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก เน้นอัตราเร่งที่มาแบบเรื่อยๆ แต่ถ้าเรียกให้เร่งแซงก็กดเป็นมาได้แบบสบายๆ จะขับในเมืองก็จัดว่าง่าย เพราะรถมความนุ่มนวลสูงมากในทุกโหมดขับขี่ หรืออยากได้ฟีลลิ่งที่กระชับหน่อยให้เปลี่ยนไปใช้โหมด Sport ได้เลย เพราะเรื่องความนุ่มนวล ไม่ต่างกับโหมด Eco และ Comfort เท่าใดนัก แต่จะได้ฟีลลิ่งรถที่กระชับกว่าค่อนข้างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะการขับทางไกล เพียงคิกดาวน์ลงไปครึ่งหนึ่ง รถก็สามารถเร่งแซงได้แบบสบายๆ สไตล์นุ่มนวลแบบผู้ดี
ช่วงล่างของ GLC 220 d ให้ความนุ่มนวลที่ดีมาก หลุม ท่อ บ่อ ถนนมาตรฐานไทย หรือถนนที่รถใหญ่ได้ทำการสร้างงานศิลปะความขรุขระไว้ เจ้าช่วงล่างติดรถก็ซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี โดยฟิลลิ่งของช่วงล่างติดรถจะให้ความนุ่มนวลเป็นหลักมากกว่า
แต่ ข้อสังเกตุใน GLC 220 d จะเป็นเรื่องของอาการ "โยน" ขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว ซึ่งจับอาการได้ค่อนข้างชัดเจนมากๆ โดยอาการโยนโค้งของตัวรถเป็นรูปแบบทั่วๆ ไปของรถยนต์ SUV ยกสูงที่เรามักพบเจอกันเป็นปกติ ไม่ได้โยนจนหวือหว่ามากแต่อย่างใด แต่กับราคานี้ยังพบอาการเช่นนี้อยู่ ก็ถือว่าแอบน่าเสียดายไม่น้อย
ระบบเบรกของ GLC 220 d จัดว่าเป็นระบบเบรกเกรดมาตรฐานของรถยุโรป เป็นระบบเบรกที่ดีมาก เชื่อถือได้ จัดว่าทำงานได้ดี และใช้งานได้ง่ายมากๆ ด้วยเวลาขับในเมืองที่มีการจราจรติดขัด เจอไฟแดงนานๆ เหยียบเบรกให้สุด รถก็จะ Hold brake ให้โดยอัตโนมัติ เท้าเราไม่ต้องออกแรงเหยียบเบรกตลอดเวลา แถมเวลาจะออกตัวก็แค่สะกิดคันเร่งเบาๆ รถก็ไปแล้ว ใช้งานง่ายมากๆ
ระบบอำนวยความสะดวกการขับขี่ ให้มาแบบมาตรฐานด้วยระบบล็อกความเร็ว โดยเรามองว่า รถราคานี้แล้ว "ควรได้ Adaptive Cruise Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเสียด้วยซ้ำ" เพราะเจ้า GLC 220 d เป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานเดินทางไกลค่อนข้างมาก กลับไม่มีระบบนี้มาให้ น่าเสียดายมากครับ
และอีกหนึ่งระบบ นั่นคือระบบช่วยรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า ซึ่งปกติแล้วเจ้าระบบนี้จะทำงานกับ Adaptive Cruise control แต่ของ Mercedes-Benz คุณไม่จำเป็นต้องเปิดระบบล็อกความเร็วแปรผัน ตัวระบบก็ทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดการชนท้ายโดยไม่ได้ตั้งใจได้ดีมากๆ
การขับขี่ Mercedes-Benz GLC 300 e AMG Dynamic 2022
ภาพรวมทั่วไปของตัวรถทั้งเรื่องมุมมองการขับขี่, เบาะนั่งต่างๆ ของตัวรถ GLC 300 e เหมือนกับรุ่น GLC 220 d ทุกประการ แต่จะมาต่างกันแบบรถคนละรุ่นอย่างชัดเจนก็ตรงเครื่องยนต์นี่แหละ
เครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz GLC 300 e AMG Dynamic 2021 ใช้เครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มีพละกำลังมหาศาลมากๆ มีแรงม้าถึง 320 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 700 นิวตันเมตร
หากคุณเป็นคนที่มองหารถยนต์ SUV ที่ใช้งานก็ได้, เที่ยวก็ได้, "ซิ่ง ก็ได้" ประหยัดน้ำมันด้วย แถมเป็นรถไฟฟ้าได้ในตัว เจ้ารุ่นนี้คือคำตอบ
หากจิตใจของคุณเป็นคนที่เร่าร้อนกับการไล่บดขยี้ทุกคันบนท้องถนน เห็นรถสปอร์ต 2 ประตูแล้วคันไม้คันมือ ผมขอยกฉายาเจ้า Mercedes-Benz GLC 300 e AMG Dynamic ว่า "หมก" เพราะด้วยรูปลักษณ์ของมันที่ดูเป็นรถครอบครัว ดูเป็นมิตรมาก แต่ถ้าในโหมดเกรี้ยวกราดอย่างโหมด Sport บอกเลยว่าหากรถคันนี้อยู่ในมือของคนที่มีประสบการณ์ขับรถระดับสูง เหล่ารถสปอร์ตขับโดยมือใหม่ระวัง "โดนแซง" เพราะรถคันนี้สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.4 วินาทีเท่านั้น และตัวระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยเสริมพลังให้กับตัวรถนี้ช่วยขับเคลื่อนตลอดเวลาในทุกอย่างความเร็ว
เอาว่าคุณสามารถเร่งแซงรถแช่ขวาในความเร็ว 120 กม./ชม. เร่งขึ้นระดับ 150 กม./ชม. ขึ้นไปได้แบบไม่ต้องลุ้นและไม่ต้องรอนานนัก
แต่อย่าทำเลยครับ ผิดกฎหมายขับรถเร็ว ที่นี่ประเทศไทย ไม่ใช่ Autobahn บ้านเกิดของแบรนด์นี้
และก็ไม่ต้องกังวลว่าขับเร็วขนาดนั้นจะเบรกอยู่ไหม เพราะระบบเบรกในรถคันนี้ใช้จานเบรกที่มีขนาดใหญ่กว่าคู่แฝดของมัน แถมได้ปั้มเบรก AMG มาเลย กดเพียงเบาๆ หัวก็ทิ่มได้ เพราะเบรก GLC 300 e นี่แรงตามรถจริงๆ
เรื่องกำลังของเครื่องยนต์ สอบผ่านฉลุย แถมเหมือนได้รถไฟฟ้าอีกคัน ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จ และขับด้วยโหมด Electric ได้ระยะทางสูงสุด 50 กม./ 1 การชาร์จ เอาว่าถ้า 1 วัน คุณใช้รถไม่ถึง 50 กิโลเมตร ก็ลืมไปเลยว่าต้องเข้าปั้มเติมน้ำมัน ขอเพียงแค่หมั่นชาร์จแบตเตอร์รี่ไว้ก็เพียงพอ
และอัตราเร่งในโหมดไฟฟ้านี่ ก็จัดว่าวาร์ปได้ ไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างใด
ช่วงล่างของตัวรถมีความแตกต่างจากตัว GLC 220 d อย่างชัดเจน อาการ "ย้วย โยน เหวอ" ที่พบเจอได้ในตัวดีเซล หายเป็นปลิดทิ้งทันทีในตัว GLC 300 e เนื่องด้วยระบบขับเคลื่อนที่เป็น 4 ล้อ มอบประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่เหนือกว่าเป็นทุนเดิมแล้ว ตัวแบตเตอร์รี่ที่ติดตั้งอยู่ท้ายรถ ก็มีส่วนช่วยทำให้รถมีอาการโยนที่น้อยมากๆ จนแทบจะเท่ารถเก๋งไปแล้ว
แม้จะดูว่าหน้าตาดูบ้านๆ ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรง แต่ถ้าได้ลองสักนิดจะติดใจใน Mercedes-Benz GLC 300 e 4Matic AMG Dynamic
GLC 220 d กับ GLC 300 e ซื้อคันไหนดี?
หากต้องเลือกสักคันว่าต้องซื้อคันไหนดี ต้องถามก่อนว่าคุณเป็นคนที่คาดหวังอะไรจากรถยนต์ 1 คัน?
หากคุณเป็นคนที่ต้องการรถยนต์สักคันที่ไม่จุกจิก ระบบไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ง่าย และต้องการใช้รถคันนึงยาวนานนับ 10 ปี คุณเหมาะกับ Mercedes-Benz GLC 220 d AMG Dynamic มากกว่า ด้วยความที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบล้วนๆ ความซับซ้อนของระบบที่น้อยกว่า แน่นอนว่าการใช้งานรถยนต์ย่อมมีความสึกหรอคู่กันอยู่แล้ว การเลือกรถที่มีความซับซ้อนน้อย ย่อมหมายถึงการดูแลรักษาระยะยาวที่ง่ายมากกว่า แต่ก็ต้องแลกกับออปชั่นที่ด้อยกว่าคู่แฝดของเค้าที่ค่อนข้างมากเลยทีเดียว แม้จะมีราคาจำหน่ายเท่ากันที่ 3,699,000 บาท
แต่ถ้าคุณ เป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ชอบการขับขี่ที่เร้าใจ แถมแอบอยากได้รถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้วด้วย เจ้า Mercedes-Benz GLC 300 e 4 Matic AMG Dynamic ตอบโจทย์คุณได้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องความแรง เทคโนโลยี และความประหยัด เหมาะสำหรับคนที่กำลังอยากจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าล้วน แต่ก็ต้องขับรถทางไกลด้วย ห่วงเรื่องที่ชาร์จ เจ้ารถคันนี้จัดว่าเป็นคู่ซ้อมที่ดีสำหรับคุณ เพราะมันสามารถชาร์จไฟได้ เติมน้ำมันได้ พร้อมไปกับคุณทุกที่ ในราคาที่ 3,699,000 บาท ท่านที่สนใจก็สามารถไปสัมผัสตัวจริงได้ที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz ทั่วประเทศ
อ่าน รีวิว Mercedes-Benz GLC 300 e 4Matic Coupe AMG Dynamic
อ่าน รีวิว Mercedes-Benz GLA 200 2021
อ่าน รีวิว Mercedes-Benz GLA 250 2020
ติดตามข่าวรถยนต์ ราคารถยนต์ รีวิวรถยนต์ และจักรยานยนต์ทุกยี่ห้อ กับเรา Autospinn
แชร์ความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด Autospinn คลิกเลย webboard.autospinn.com
เช็คโปรโมชั่นรถใหม่ เช็คราคารถใหม่ ได้ที่นี่
ราคารถมือสอง ซื้อรถมือสอง ขายรถมือสอง เชิญได้เลยที่ one2car
ความคิดเห็น