หลายท่านเห็นการเปิดตัว BYD SEAL พร้อมราคาที่ถึงกับร้องว้าวววววว รถในกลุ่ม d segment สั่นสะเทือนกันเลย BYD SEAL มีราคาเริ่มต้น 1,325,000-1,599,000 บาท
BYD SEAL
ความน่าในใจของ BYD SEAL ไม่ใช้มีเพียงเรื่องราคาแต่อย่างเดียวแต่เป็นเรื่องความแรง ก็เป็นประเด็นหลักที่ทำให้หลายคนสนใจขึ้นมา ถ้าเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาบมีพละกำลัง 500 แรงม้า คุณต้องกำเงินเกือบ 10 ล้านบาท แต่สำหรับรถไฟฟ้าเรื่องความแรงเป็นเรื่องปกติ และสิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวท๊อปกับ BYD SEAL AWD PERFORMANCE ที่มีความแรงระดับ 523 แรงม้า 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที เท่านั้นเอง ในราคา 1,599,000 บาท นี้คุณได้รถสปอร์ตในราคาเท่านี้จริงๆหรือ
และเชื่อว่าหลายท่านที่ตัดสินใจซื้อย่อมไปให้สุดในรุ่น PERFORMANCE แน่นอนใครก็อยากจะได้รับพลัง 523 แรงม้า ว่าเป็นอย่างไร การเปิดตัวในครั้งนี้สำหรับ BYD SEAL ถือว่าสร้างปรากฏการณ์ ใหม่ๆ ให้ค่ายฝั่งญี่ปุ่นได้แน่นอนพร้อมสร้างแรงกระเพื่อมให้กับรถกลุ่มเดียวกันไม่ว่าจะเป็น Honda Accord ,Toyota Camry ตั้งแต่การตั้งราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเตรียมรถให้พร้อมสำหรับผู้ที่พร้อมจ่ายในวันเปิดตัว ทำให้หลายท่านรับรถในวันประกาศราคาซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับการตลาดในไทย
แต่ประเด็นใหญ่สำหรับสำหรับ BYD SEAL ที่หลายท่านอาจจะถกเถียงกันแต่จริงๆแล้วทุกคนเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ถ้าคุณไม่เคยขับรถไฟฟ้าคุณจะรู้สึกสนุกเพราะอัตราเร่งที่ทันใจแบบไร้เสียง ภัยเงียบของรถไฟฟ้าคือการที่ไม่มีเสียงและภายในรถเงียบมากคุณมองหน้าปัดอีกที ความเร็วพุ่งไปกว่า 170-190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบบที่เราไม่ทันตั้งตัว ความแรงเป็นสิ่งที่หาได้กับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ
BYD Seal มีจัดจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น
Dynamic, Premium และ AWD PERFORMANCE ซึ่งแตกต่างกันในจุดหลักด้านความจุ แบตเตอรี่ และ มอเตอร์ที่มีพละกำลังที่ต่างกันเป็นหลัก
Dynamic
มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว 201 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงบิด 310 นิวตัน-เมตร
แบตเตอรี่ Blade battery ขนาด 61.44 kWh
0-100 กม./ชม. ภายใน 7.5 วินาที
ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งได้ 510 กม./ชาร์จ NEDC
เวลาชาร์จเร็ว DC 110kW 30%-80% ภายใน 30 นาที
รองรับชาร์จ AC 7kW
Premium
มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว 308 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงบิด 360 นิวตัน-เมตร
แบตเตอรี่ Blade battery ขนาด 82.56 kWh
0-100 กม./ชม. ภายใน 5.9 วินาที
ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งได้ 650 กม./ชาร์จ NEDC
เวลาชาร์จเร็ว DC 150kW 30%-80% ภายใน 30 นาที
รองรับชาร์จ AC 7kW
AWD PERFORMANCE
มอเตอร์คู่ 523 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ แรงบิด 670 นิวตัน-เมตร
แบตเตอรี่ Blade battery ขนาด 82.56 kWh
0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งได้ 580 กม./ชาร์จ NEDC
เวลาชาร์จเร็ว DC 150kW 30%-80% ภายใน 30 นาที
รองรับชาร์จ AC 7kW
สำหรับการทดสอบ
ในการทดสอบทั้งสามรุ่นกับเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาใหญ่ รถที่ทีมงานได้รับเป็นคันแรกกับตัวแรง AWD PERFORMANCE เรื่องหน้าตาคงไม่ต้องพูดกันแล้วทุกคนลงความเห็นว่าสวยงามเป็นส่วนใหญ่ วัสดุภายในห้องโดยสารละ ก็ต้องบอกว่าดูดีมีราคาไม่ได้หรูแบบยุโรปแต่เรียกว่าเทียบเท่าได้เลย เรามาเริ่มกับสิ่งที่ไม่ชอบ ทุกอย่างพยายาม เหมือนเทสล่า โดยการปรับการควบคุมทุกอย่างภายในรถให้อยู่ที่หน้าจอโดยส่วนใหญ่ซึ่ง ทีมงานอาจจะพึ่งได้จับรถ และไม่คุณเคยต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับเทสล่า การเข้าถึงง่ายกว่ามาก และสิ่งที่กวนใจสุดคือการปรับแอร์ โดยปกติเราสามารถปรับลมแอร์ที่หน้ากากได้ แต่บีวายดี ซีล ต้องปรับที่จอเหมือนเทสล่า ซึ่งปรับได้ยากกว่าและตำแหน่งช่องแอร์ก็มีหลายอุปกรณ์บังทำให้ปรับทิศทางลมยากมาก
ในส่วนของเบาะนั่งทำได้ดีนั่งสบายกระชับตัว หลังคาแก้ววิ่งกลางวันทนความร้อนได้ดีถือว่าผ่าน แต่สิ่งที่ดีที่สุดและหน้าประทับใจมากคือการเก็บเสียงที่เรียกว่าเทียบเท่ารถยุโรปก็ว่าได้ เหนื่อกว่ารถญี่ปุ่นทุกค่าย ด้วยการออกแบบรถที่ดี ซึ่งอาจจะเกิดจากรถมีค่า Cd. สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.219 ถือว่าต่ำมาทำให้ช่วยทั้งในเรื่องการประหยัดพลังงานและความเร็วรวมถึงเสียงลมที่ปะทะตัวรถด้วย คุณขับด้วยความเร็วระดับ 140-150 km เสียงที่เข้าห้องโดยสารยังเงียบอยู่เลย
PERFORMANCE เป็นรุ่นที่มีพละกำลังเหลือเฟือแบบถ้าคุณไม่เคยขับรถแรงๆมาก่อนจะรู้สึกได้เลยว่านี้คือที่สุดของชีวิตแล้ว เพราะทุกอย่่างตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเมื่อคุณกดคันเร่งไม่ว่าจะอยู่ในโหมดไหนก็ตาม ดังนั้นก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากเรื่องความแรงแบบรถไฟฟ้า
แต่สิ่งที่ BYD SEAL ควรปรับปรุงคือระบบช่วยเหลือในการขับขี่ต้องบอกเลยว่าน่ารำคาญ ตั้งแต่ระบบจดจำป้ายจราจร TSR เสียงเตือนที่ดังตลอดเวลา ที่สำคัญสุดถ้าคุณเปิดระบบเตือนเปลี่ยนเลน LDW ที่จะดึงพวงมาลัยคุณตลอดเวลาเหมือนรถตกใจ ทำงานแม้กระทั่งรถวิ่งผ่านคุณ เพราะบางจังหวะที่เราต้องเปลี่ยนเลนในช่วงเวลารถติดๆระบบจะเข้าใจว่าเราใกล้รถคันหลังเกินรถจะทำการดึงพวงมาลัยกลับไม่ยอมให้เราเข้า ซึ่งถ้าเทียบระบบช่วยเหลื่อฝั่งยุโรปหรือเทสล่า รถจะรู้ว่าเราควบคุมอยู่จะไม่ทำการดึงพวงมาลัยเวลาเราควบคุมอยู่ ดังนั้นเป็นสิ่งที่ BYD SEAL ต้องแก้ไข
ช่วงล่างละเอาอยู่ไหม ก็ต้องบอกว่าถ้าคุณวิ่งใช้งานปกติแบบคนทั่วไปตามกฎหมายกำหนดไม่เกิน 120 km กดเร่งแซงเป็นบางช่วงเวลาช่วงล่างเดิมโรงงานเพียงพอแล้วแถมนุ่มสบายในการเดินทาง แต่ถ้าคุณเป็นพวกเต็ม 100% ตลอด โหมด sport คือปกติ ทุกไฟแดงต้องชิงไฟ มุดตลอดการเดินทางไม่มียกช่วงล่างเดิมคงไม่พอรวมถึงเบรกด้วย (ช่วงล่างPERFORMANCEจะต่างจากรุ่นอื่นตัวโช๊คจะแปรผันตามพื้นผิวถนน ถ้ามีการเต้นของโช๊คมากจะเพิ่มความหนืดอัตโนมัติแต่ไม่ใช้ไฟฟ้า) จากการทดสอบจะรู้สึกได้เมื่อเจอพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบโช๊คจะแข็งขึ้นเล็กน้อย
คันที่สองในการทดสอบ Premium ขับเคลื่อนล้อหลัง แบตเตอรี่ ขนาด 82.56 kWh เท่า PERFORMANCE เนื่องด้วยขับสองมอเตอร์แรงน้อยลงทำให้ระยะทางในการวิ่งได้มากที่สุดแต่ในการทดสอบเส้นทางเป็นช่วงขึ้นเขาทำให้อัตราการกินไฟมากพอสมควร แต่จุดที่ดีสำหรับ Premium คือกำลัง 308 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตัน-เมตร ดูมีความพอดีกับรถมากกดคันเร่งขึ้นเขาไม่รู้สึกว่าอืดแต่อย่างไร กลับรู้สึกว่าขับขี่ง่ายกว่า PERFORMANCE เพราะด้วยความแรงที่พอดีทำให้ไม่ต้องระวังมากรู้สึกว่าเราควรคุมรถได้ง่ายกว่า แต่ถ้าชอบแบบสะใจก็ต้อง PERFORMANCE ช่วงล่างไม่ได้รู้สึกต่างแบบรถคนละคันกับ PERFORMANCE ให้ความรู้สึกเหมือนกันด้วยซ้ำ พวงมาลัยสามารถปรับน้ำหนักได้ถือว่ามีน้ำหนักที่ดี เบรกสามารถปรับได้เช่นกันเพิ่มแรงเบรกได้
ถึงที่หมายเขาใหญ่กับสนาม 8speed ทางทีมงานได้จัดให้ทดสอบสมรรถนะ ในรุ่น PERFORMANCE โชว์ระบบความปลอดภัยต่าง แบบจัดเต็ม ซึ่งก็จัดเต็มหลายท่านเก็บกรวยไปหลายอันเพราะด้วยความแรงจากรถ วิ่งในสนามหลายคนหลุดลงหญ้า นั้นแสดงให้เห็นเลยว่าต่อให้ระบบดีแค่ไหนแต่ถ้าคุณขับเกินกว่าที่ควบคุมทุกอย่างก็เอาไม่อยู่ แม้ว่านักข่าวหลายท่านมีประสบการณ์มากและบางท่านก็เป็นนักแข่งรถก็หลุดได้ บางคนบอกว่ารถขับสี่เกาะถนนมากว่าขับหลังอันนี้เรื่องจริง แต่ก็ต้องอย่างลืมเหมือนกันว่ารถขับขี่เวลาหลุดแล้วไปทั้งคันเอาไม่อยู่
ได้เวลาเดินทางกลับด้วยรุ่นสุดท้ายกับ Dynamic ซึ่งเป็นตัวเริ่มต้น Blade battery ขนาด 61.44 kWh พร้อมมอเตอร์ที่แรงน้อยสุด 201 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง แรงบิด 310 นิวตัน-เมตร เอาจริงถ้าไม่บอกเรื่องแรงม้าแรงบิด คุณเข้าไปขับเลยก็จะรู้สึกว่าแรงแล้วถ้าคนใช้งานปกติ แต่สายแรงก็จะไม่ถูกใจสิ่งนี้ แต่จุดที่เด่นจริงคืออัตราการกินไฟฟ้าที่มีตัวเลขดีที่สุดระหว่าง 3 คัน
ตัวเลขที่ทีมงานขับได้ (ด้วยความเร็วเฉลี่ย 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง(
Dynamic 13.8 kw = 422 km
Premium 15.7 kw = 499 km แบบขึ้นเขา ถ้าแบบปกติจะประมาน 13.5 kw = 580 km
PERFORMANCE 17.2 kw = 455 km
ทุกค่าที่ได้ ได้ทำการหักลบแบตเตอร์รี่บัฟเฟอร์ไปแล้ว
สรุปสำหรับ BYD SEAL
ต้องบอกว่าตลาดแตกเมื่อเปิดราคามา คุยกันที่ตัวท๊อป PERFORMANCE เป็นครั้งแรกที่คุณจ่ายเงิน 1.5 ล้าน แต่ได้แรงม้ากว่า 500 ตัว ถ้าคุณเคยชินก้บแรงม้าระดับนี้ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยก็ต้องบอกว่าใจเย็นๆค่อยเรียนรู้กับรถไป เพราะถ้ารถที่มีความแรงระดับนี้เสียอาการ การที่คุณจะควบคุมมันนั้นไม่ใช้เรื่องง่ายด้วยปัจจัยหลายๆอย่างและที่สำคัญกับน้ำหนักตัวที่มากถึง 2.1ตัน ถ้าเกิดอะไรขึนจะควบคุมได้ยากมาก
รถไฟฟ้าไม่มีการรอรอบแต่อย่างไร เมื่อคุณพลาดกดคันเร่งเต็มในทางโค้ง คุณอาจจะตกใจได้ ดังนั้นการที่ BYD SEAL ล็อกความเร็วเอาไว้ที่ 190 กม./ชม. ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะเขาห่วงผู้บริโภค ทีมงานได้วิ่งบนทางด่วนด้วยความเร็ว 190 กม./ชม. ทุกอย่างผ่านไปเร็วโดยไม่รู้ตัวเพราะด้วยความเงียบของตัวรถด้วยยิ่งทำให้ไม่รู้สึก
ดังนั้นสายชิวใช้ในเมือง Dynamic เพียงพอแล้ว สายเดินทางวิ่งไกล Premium ความแรงพอประมาณแซงได้ทุกคัน เท้าหนักไปให้สุด PERFORMANCE ความแรงไม่ต้องพูดดดด เอาที่ปลอดภัย
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn
ค้นหารถมือสองทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถมือสอง One2car
ความคิดเห็น