อย่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพียงเพราะคุณอยากได้เทคโนโลยีใหม่ เพราะเทคโนโลยีของยานยนต์ไฟฟ้าถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกวัน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ AI ทำให้มันจะไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้
รถ EV กำลังพัฒนา
รถยนต์ไฟฟ้า เป็นยานพาหนะพลังงานใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างยิ่ง นำโดยประเทศจีนที่ถือว่าเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะเรื่องปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ในจีน จำนวนของแบรนด์รถยนต์ และกำลังการผลิตรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก รวมไปถึงหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้านั่นคือแบตเตอรี่ ล้วนแล้วแต่ถูกผลิตในประเทศจีนเกือบจะทั้งหมดของรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานในโลกของเรา
ส่งผลให้แบรนด์รถยนต์จากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นค่ายอเมริกา, ยุโรป, ญี่ปุ่น, เกาหลี ยังต้องพึ่งพาการผลิตแบตเตอรี่จากจีน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งตัวเซลล์แบตเตอรี่ เพื่อไปประกอบเป็นแพ็กแบตเตอรี่ที่ประเทศตัวเอง กระทั่งการไปตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศจีน และส่งออกมาด้วยซ้ำไป จึงไม่อาจปฎิเสธได้ว่า "จีน คือผู้นำแห่งยานยนต์ไฟฟ้า"
รถ EV คือคอมพิวเตอร์ติดล้อ
รถ EV คือคอมพิวเตอร์ติดล้อ คำนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด แต่เราต้องมองย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคสมัยใช้งานรถยนต์สันดาปกันแล้วว่า ในยุคที่เราใช้งานรถยนต์สันดาปเอง คอมพิวเตอร์ก็เป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมการทำงานของรถยนต์ ซึ่งเรามักจะเรียกมันว่า "กล่อง ECU" ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบการจุดระเบิด, ควบคุมระบบไฟฟ้าของรถ, ระบบความบันเทิงต่างๆ ภายในรถ ยิ่งภายหลังเริ่มมีระบบช่วยเหลือการขับขี่เข้ามามากขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการทำงานกับฟังก์ชั่นต่างๆ ของรถยนต์มากขึ้น
ทว่าการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้านี้ มันเข้ากันกับยุคของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่หลายๆ แบรนด์เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น แต่ถ้าในมุมของรถยนต์ไฟฟ้า เจ้าระบบช่วยขับอัตโนมัติกลับกลายเป็นฟังก์ชั่นที่แทบจะเป็นระบบพื้นฐานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบกล้องรอบคัน, ระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบป้องกันการออกนอกเลน พร้อมรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบเปลี่ยนช่องทางจราจรอัตโนมัติ, ระบบขับขี่แบบตามเส้นทางโดยอัตโนมัติ และอื่นๆ อีกมากมายในอนาคต เจ้าสิ่งนี้ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์แทบทั้งสิ้น
สินค้า IT ตกรุ่นเร็ว
เมื่อเราพอเห็นภาพแล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการช่วยเหลือการขับขี่เยอะมากๆ ในมุมของสินค้า IT เอง นี่คือสิ่งที่เรียกได้ว่า "พัฒนาเร็วมาก" มาอย่างยาวนานอยู่แล้ว เราลองนึกภาพสินค้า IT เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว กับในวันนี้ที่มันแตกต่างกันมากขนาดไหน
โทรศัพท์มือถือในยุค 10 ปีที่แล้ว กับยุคปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพการทำงานแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ในรถยนต์ก็เช่นเดียวกัน หากเรามองกันเรื่องของเทคโนโลยีการขับขี่ของรถยนต์เมื่อ 10 ปีก่อน กับรถยนต์ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าเรื่องของระบบการทำงานของรถ ไปจนถึงออปชั่นต่างๆ กับรถยนต์ในราคาเท่ากัน ก็ให้มาต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยชัดเจน
ทว่า หัวใจสำคัญของมันยังไงก็ยังอยู่ โทรศัพท์มือถือเมื่อ 10 ปีก่อน กับวันนี้ ยังคงความสามารถการโทรเข้าและรับสายเหมือนกัน รถยนต์ใน 10 ปีก่อน ก็ยังมีความสามารถในการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้เหมือนกัน เพียงแต่ระหว่างทางในการทำงานของมันแตกต่างไปแล้ว
ยุคของ AI
ปัจจุบันนี้คือยุคของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่มันมีส่วนช่วยสำคัญในการพัฒนาทุกสรรพสิ่งบนโลกของเรา ณ ปัจจุบัน ด้วยพลังของการประมวลผลการวิเคราะห์ต่างๆ ที่รวดเร็วมากกว่าการคำนวณโดยมนุษย์อย่างมหาศาล ทำให้การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคตจะเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับการพัฒนาในยุคก่อนๆ ที่ผ่านมา
ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์, ระบบซอฟแวร์, แบตเตอรี่ ไปจนถึงมอเตอร์ขับเคลื่อน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ยังไปได้อีกไกล
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า ยังสามารถพัฒนาไปได้อีกไกลมากๆ โดย ณ ปัจจุบันนี้ จุดอ่อนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าคือ "ระยะเวลาการชาร์จที่นาน มีความจุน้อยเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่มาก" แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าหลายๆ รุ่น จะสามารถทำระยะทางขับขี่ได้ไกลกว่า 400 กม./ชาร์จไปแล้ว แต่ความต้องการอีกฝั่งคือ "ระยะเวลาการชาร์จ" ที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนยังไม่ตัดสินใจเลือกรถยนต์ไฟฟ้า ในมุมเชิงวิศวกรรมเองก็มีโจทย์เรื่องของน้ำหนักแบตเตอรี่ที่ต้องแก้
โดยปัจจุบัน เทคโนโลยีแบตเตอรี่มุ่งหน้าไปหาเรื่องของ "ทำให้ชาร์จเร็วขึ้น และมีน้ำหนักเบาขึ้น เพื่อทำขนาดให้เล็กลง หรือเพิ่มความจุให้มากขึ้นด้วยพื้นที่เท่าเดิม" ซึ่งจะส่งผลทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ใช้เวลาชาร์จน้อยลงจนแทบไม่ต่างจากการเติมน้ำมัน
โดยเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ แม้ว่าจะพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เห็นภาพเป็นรูปธรรมเร็วที่สุดคือ "ราคาแบตเตอรี่จะถูกลงเรื่อยๆ" เนื่องด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงนั่นเอง
เรามองใกล้ตัวสุดๆ อย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในไทยช่วงที่เข้ามาในปี 2022 กำลังไฟในการชาร์จ DC รับกันแถวๆ 50-80 kW แต่พอเป็นรุ่นปี 2024 คุยกันระดับ 100 - 250 kW กันเป็นเรื่องปกติแล้ว จนสถานีชาร์จเกินครึ่งไม่สามารถจ่ายไฟให้ได้แรงเท่าที่รถสามารถรับได้ไปซะแล้ว....
มิหนำซ้ำ ยังมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ในประเทศจีน ที่ใช้มาตรฐานการชาร์จระดับ 200 kW ขึ้นไป กันเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว และยังมีรถที่รับไฟได้ระดับ 350 kW หรือมากกว่านี้ที่กำลังทยอยเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพราะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ปัจจุบันขยับไปถึงขั้นรับไฟ 600 kW เป็นที่เรียบร้อย เพียงแต่ว่าจะมีแบรนด์รถยนต์ค่ายไหนนำมาใช้งานกับรถยนต์ที่จะจำหน่ายสู่ท้องตลาดเท่านั้นเอง
จงซื้อรถ EV ตามความจำเป็นในการใช้งาน
เพราะงั้นแล้ว การซื้อรถ EV คุณควรตัดสินใจซื้อตามความจำเป็นในการใช้งาน เพราะยังไงคุณก็ไม่มีทางตามเทคโนโลยีทันแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าคุณชื่นชอบการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อนใคร ไม่อยากตกเทรนด์ แบบนี้ก็ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าคุณ ซื้อรถสักคันหนึ่งแล้วต้องใช้งานมันไปยาวๆ ควรซื้อตามความจำเป็น ไม่ต้องรอว่าเดี๋ยวรอตัวใหม่ ตัวใหม่ดีกว่า แบบนั้นไม่ได้ซื้อแน่นอน เพราะยังไงแล้วของใหม่ย่อมดีกว่าของเก่า และคุณอาจจะได้รออีกเป็น 10 ปีเพื่อจะซื้อ เพราะอย่างที่บอกไป ทุกอย่างพัฒนาทุกวัน หากอยากรอของใหม่แล้วซื้อทีเดียว บอกเลยว่าชีวิตนี้ไม่ได้ซื้ออะไรแน่นอนครับ เพราะเดี๋ยวมันก็ตกรุ่นในปีถัดไปอยู่ดีนั่นแหละ
แต่ถ้ารถคันเดิมของคุณ มันเสื่อมสภาพแล้ว มันเริ่มซ่อมบ่อย อายุการใช้งานสูงมากแล้ว วิ่งมาเยอะแล้ว อาการงอแงเริ่มออก หรือเอาง่ายๆ รถยนต์อายุเกิน 10 ปี มันก็ถึงคราวที่ควรจะเปลี่ยนรถยนต์เป็นคันใหม่ซะหน่อย เพราะยังไงมันก็คือสิ่งที่คุณต้องซื้อมาใช้งานนั่นเอง
ส่วนจะซื้อรถ EV รุ่นไหนดี? ก็อยู่ที่โจทย์การใช้งานของคุณนั่นแหละว่าต้องการซื้อไปเพื่อแก้ปัญหาอะไร? หากต้องการรถ EV ที่ราคาประหยัด ไม่ได้ซีเรียสเรื่องประสิทธิภาพการขับขี่ ไม่ได้มีผู้โดยสารเยอะ คุณก็มองหารถ EV ราคาไม่ต้องสูงมาก ขอเพียงแค่มันชาร์จไฟแบบ DC ได้ก็เป็นพอ
หรือถ้าเป็นครอบครัว มีลูก มีผู้โดยสารมากกว่า 3 คนประจำ อาจพิจารณามองรถ EV ไซส์ใหญ่หน่อยอย่างพวกกลุ่มรถ C-Segment หรือ B-SUV หรือจะเป็นรถตู้ไฟฟ้าก็ย่อมได้ ตามแต่รูปแบบการใช้งาน งบประมาณที่มี และรุ่นรถยนต์ที่มีให้เลือกในตอนนั้น
หรือถ้าเป็นสายซิ่ง ชอบรถแรงๆ อาจไม่ได้สนใจเทคโนโลยี่ช่วยเหลือการขับขี่ มักจะชอบสัมผัสการขับขี่ของรถ การควบคุมของมัน แบบนี้เล่นรถตัวที่ถูกใจได้เลย เพราะยังไงแล้วการใช้ทักษะผู้ขับขี่ มันสำคัญกว่าประสิทธิภาพของรถไปเยอะมาก ต่อให้คุณขับ Supercar แต่ไม่มีประสบการณ์ขับรถมาก่อน ยังไงก็รีดประสิทธิภาพมันออกมาไม่หมดอยู่ดี
หรือสายชอบเทคโนโลยีช่วยเหลือขับขี่ล้ำๆ อยากให้รถวิ่งเองได้ ขึ้นรถปุ้บ สั่งให้ไปที่นู้นนั่นนี่ แล้วให้มันวิ่งไปเอง อันนี้อาจจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในอนาคตครับ เพราะทุกวันนี้มันยังไม่พร้อมทั้งเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อม
ตัวจบวันนี้ ยังไงก็ตกรุ่นในวันหน้า เพราะงั้นเลือกตามที่ต้องการใช้งานดีกว่า
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น