เปิดตัวและราคาไปเมื่อสัปดาห์ก่อน สำหรับ MINI Cooper SE เจเนอเรชันที่ 5 รถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูพรีเมียมขึ้น แถมขับได้ไกลขึ้นในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมอีกด้วย วันนี้เลดี้จะพาทุกคนมาชมสเปก MY2024 ที่ประกบแบบช็อตต่อช็อต กับ MY2023 ว่าจะมีอะไรน่าสนใจขึ้นบ้าง
MINI Cooper SE MY2024 VS MY2023
MINI Cooper SE เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และเป็นแบรนด์พรีเมียมยอดนิยมในบ้านเราอีกด้วย เพราะว่ามีดีไซน์ที่น่ารัก โดดเด่น ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังมีสมรรถนะการขับขี่แบบ "Electrified Go-Kart" ขับมันส์ ขับดี และปลอดภัย ไม่แพ้รถยนต์สปอร์ตแบรนด์ดังระดับโลกเลย ซึ่งความแตกต่างสำหรับในรุ่น MY2024 และ MY2023 มีความต่างกันอยู่พอสมควร และมีลูกเล่นใหม่ที่น่าสนใจมากขึ้น มีอะไรบ้างไปชมกันค่ะ
MINI Cooper SE การออกแบบดีไซน์ภายนอก Exterior
เลดี้ขอเริ่มจาก MINI Cooper SE ในรุ่น MY2023 กันก่อน จะได้ไล่ลำดับความเป็นไป ได้แบบเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งคันนี้ที่เลดี้นำมาเทียบจะเป็นในรุ่นที่ทาง MINI คอลแลปกับ PDM จากบทความรีวิวก่อนหน้าฉบับเต็มของในรุ่น MY2023 (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่) ดังนั้นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาจากในรุ่นปกติ จะมีเพียงชุดแต่งสติ๊กเกอร์หลังคา, สติ๊กเกอร์กระจกข้าง, ปุ่มล็อครถลายพิเศษ และชุดพรมเสื่อปูพื้นทั้งคันเท่านั้น
ถ้าหากเทียบการดีไซน์จากด้านหน้าจะเห็นว่าบริเวณกรอบของกระจังหน้าและไฟหน้าจะเป็นสีดำ รวมถึงในส่วนของ Logo MINI ก็เป็นสีดำเช่นเดียวกัน มีช่องระบายอากาศตรงกระโปรงหน้าให้ด้วย แล้วก็มีช่องดักอากาศซ้ายขวา เรียกว่ายกเอาตัวถังเดียวกันกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาป รหัส F56 มาเลยนั่นแหละ ดังนั้นรูปโฉมโดยรวมจึงมีหน้าตาสปอร์ต ดุดัน เท่ห์ๆ คูลๆ อย่างที่เห็น ในส่วนของไฟหน้ามีการติดตั้ง Daytime Running Light ทรงกลมครอบไฟหน้า LED Projector ดวงกลาง ตามแบบฉบับของ MINI Cooper
มาถึงการออกแบบของ MINI Cooper SE เจเนอเรชันที่ 5 หรือ MY2024 กันบ้าง สำหรับในโฉมนี้มีความลักชูว์และพรีเมียมมากขึ้น และดูเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นกว่าในรุ่นเดิม ด้วยการตกแต่งกระจังหน้าใหม่ เป็นใบหน้าเพลนๆ คลีนๆ โดยการเอาช่องระบายอากาศและช่องดักอากาศออก มาพร้อมกับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทรงแปดเหลี่ยม Vibrant Silver ทำให้เส้นสายคมชัดมากยิ่งขึ้น รวมถึงในส่วนของ Logo MINI ก็ใช้เป็นสี Silver เช่นเดียวกัน ความพิเศษของในรุุ่น MY2024 ก็คือไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่มาพร้อมกับลูกเล่นอันแพรวพราว ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured และ JCW นอกจากนี้ยังเพิ่มลูกเล่นแอนิเมชั่นตอนปลดล็อคและล็อครถเข้ามาให้อีกด้วย
พามาดูด้านข้างของทั้ง 2 Gen กันบ้าง สำหรับในรุ่น MY2023 บริเวณซุ้มล้อและที่จับประตูจะตกแต่งด้วยสีดำ มีการติดตั้งไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถมาให้ด้วย มาพร้อมกับล้อ Electric Power Spoke 2-Tone ขนาด 17 นิ้ว ติดตั้งยางรันแฟลต 205/45R17 ซึ่งเป็นดีไซน์ที่แปลกตามากๆ ทาง MINI เองก็ได้ออกมาเคลมว่าการออกแบบล้อลายนี้จะช่วยให้สามารถวิ่งได้ระยะไกลขึ้น
และสำหรับในรุ่น MY2024 บริเวณของซุ้มล้อขอบดำและไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถหายไปแล้ว รวมถึงที่จับประตูได้รับการดีไซน์ใหม่ให้ราบเรียบไปกับตัวรถและเป็นสีเดียวกับตัวถัง มาพร้อมกับล้อใหม่ลาย Slide Spoke 2-Tone ที่ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมรีไซเคิลสูงสุดถึง 70% มีขนาด 18 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าในรุ่นเดิม 1 นิ้ว ทำให้การดีไซน์โดยรวมดูพรีเมียมและล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น
Highlight สำคัญอยู่ทางด้านท้ายค่ะทุกคน อย่างที่ทราบกันดีว่าไฟท้ายของ MINI นั้นเป็นเอกลักษณ์มากๆ เห็นที่ไหนก็บอกได้เลยว่านี่คือ MINI Cooper ซึ่งในรุ่น MY2023 น้องเค้าจะใช้ไฟท้ายลวดลาย Union Jack หรือ Union Flag ซึ่งเป็นลายธงชาติของ United Kingdom และมีไฟตัดหมอกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายแคปซูลซ้ายขวา
สำหรับเจเนอเรชัน MY2024 ใหม่นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในส่วนของด้านท้าย เรียกว่าใหม่หมดเลยก็ว่าได้ เริ่มต้นกันที่ไฟท้ายก่อนเลย จากรูปทรงเดิมที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เปลี่ยนใหม่เป็นทรงสามเหลี่ยมแต่ลวดลายยังคงไว้ซึ่งอารมณ์ของ Union Jack เล็กน้อย และติดตั้งลูกเล่นแอนิเมชั่นตอนปลดล็อคและล็อครถเหมือนกับไฟหน้าด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ Logo MINI ขนาดกำลังดี พร้อมกับติด Plates Name ชื่อรุ่น Cooper S ไว้ที่บริเวณที่จับประตูหลังใหม่ ที่มีดีไซน์ยาวจรดไฟท้ายทั้งสองข้าง มาดูกันต่อที่ไฟตัดหมอกจากเดิมเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบแคปซูล เปลี่ยนใหม่เป็นแท่งบางๆ มองเผินๆ จะเหมือนกับช่องดักอากาศซ้ายขวา โดยรวมแล้วสวยขึ้นมาก ยิ่งไฟท้ายนะเลดี้มองแล้วเหมือนกับปีกนางฟ้าเลย
การออกแบบภายใน MINI Cooper SE
เข้ามายังห้องโดยสารของ MY2023 กันก่อน หากใครที่เคยได้เห็น Gen 3 ก่อนหน้านี้ ต้องบอกก่อนว่าใน Gen 4 หรือ MY2023 นี้จะถูกลดออฟชั่นออกเล็กน้อย อาทิ ที่ชาร์จแบบไร้สาย, หน้าจอ Head Up Display Pop-Up รวมถึงช่องจ่ายไฟ USB นอกจากนี้สิ่งที่ให้มาก็ยังครบถ้วน มาพร้อมกับหลังคาซันรูฟ เปิด-ปิดได้เฉพาะตอนหน้า เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตโอบกระชับแบบปรับแมนนวล มีระบบปรับอุณหภูมิ 3 ระดับ หน้าจออินโฟเทนเมนต์รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย มีกล้องมองหลังที่ให้ความละเอียดสูงคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน และยังช่วยเช็คระยะสถานะเซ็นเซอร์หน้า-หลัง หากขับเข้าใกล้สิ่งกีดขวางจะมีเสียงแจ้งเตือนให้ทราบ
ทางด้านภายในของ MY2024 ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ยังคงออกแบบในสไตล์ที่เรียบง่าย เพิ่มเติมคือวัสดุที่ใช้ตกแต่งส่วนใหญ่จะผลิตจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90%แต่ถึงจะเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ในเรื่องของคุณภาพยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม พื้นผิวหน้าแผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางแบบทูโทน ในขณะที่กล่องเก็บของบุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ พร้อมสายผ้าสำหรับใช้ช่วยเปิดที่เก็บของให้สะดวกยิ่งขึ้น เบาะโดยสารออกแบบให้มีความหรูหรากึ่งสปอร์ตทำจาก Vescin สีน้ำเงิน Nightshade ซึ่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ของมินิที่นำมาใช้แทนหนัง เพิ่มสีสันภายในห้องโดยสารด้วย Favoured Trim สีน้ำเงิน
อีกหนึ่ง Highlight ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือหน้าจออินโฟเทนเมนต์ OLED ทรงกลมความละเอียดสูงใหม่!! ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการยานยนต์ที่นำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกสบายในแบบฉบับที่ไม่ต่างอะไรกับการใช้สมาร์ทโฟนเลย ซึ่งจะเผยข้อมูลสำคัญของตัวรถ อาทิ ความเร็ว สถานะแบตเตอรี่ ข้อมูลการนำทาง เพลงและความบันเทิงอื่นๆ รวมถึงฟีเจอร์ด้านการเชื่อมต่อต่างๆ นอกจากนี้ยังมี Head-Up Display กลับมาให้อีกครั้ง เพิ่มเติมความล้ำสมัยด้วยระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทย ตอบสนองทุกคำสั่ง เพียงออกเสียงเรียกว่า “Hey MINI!” ที่ขับเคลื่อนด้วย ระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยมือของทีมงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป บนพื้นฐานของ Android Open Source Project (AOSP) จึงสามารถใช้งานได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
MINI Cooper SE ขุมพลังการขับขี่ด้วยไฟฟ้า 100%
สิ่งที่ทำให้ในรุ่น MY2023 แตกต่างจากในรุ่นใหม่นี้ก็คือขุมพลังการขับเคลื่อน ซึ่ง MY2023 ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ทำงานควบคู่กับแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 32.6 kWh ซึ่งสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 217 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC และสามารถทำ Top Speed ได้ที่ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเวลาในการชาร์จจาก 0-80% แบบ AC Home Socket ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง แบบ AC Wallbox 7.4 kW ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 12 นาที และแบบ DC Charge 50 kW ใช้เวลาประมาณ 36 นาที มาพร้อมกับราคาจำหน่าย 2,459,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คาดการณ์ปกติสำหรับรถยนต์ MINI และแบรนด์ยุโรปทั่วไป
มาคุยกันต่อในรุ่น MY2024 ที่มาพร้อมกับขุมพลังการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า และแรงบิด 330 นิวตันเมตร ทำงานควบคู่กับแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 54.2 kWh ซึ่งสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 402 กิโลเมตร / ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP โดยที่ตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ในพื้นรถยังทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้รถมีความสามารถในการยึดเกาะและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม จึงสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเวลา 6.7 วินาที รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ในขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที เปิดราคาจำหน่ายแบบอึ้งและทึ่งไปตามๆ กันด้วยราคา 1,699,000 บาท (พร้อมแพ็คเกจ MSI Standard) ผลจากเงื่อนไขภาษีนำเข้าที่ลดลงเมื่อไปใช้บริการการผลิตจากฝั่งมหาอำนาจจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งผู้บริโภคได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะเราจะได้ขับรถยุโรปคุณภาพยอดเยี่ยมในราคาที่จับต้องได้ บอกเลยว่าสิ้นปีนี้เจอกันแน่ เลดี้กำตังค์รอแล้วนะ
อัปเดตข่าวรถยนต์ ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ไปกับ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสอง ทุกรุ่น ทุกแบบ ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน ดูรายละเอียด และราคารถมือสองได้ที่ ตลาดรถ One2car
ความคิดเห็น