เอาใจสาวกสายซิ่งที่รักในความแรงจากขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ด้วยการรวบรวมรถยนต์ไฟฟ้าสเปคเทพจากหลายแบรนด์ดัง ที่เปิดตัวสู่สาธารณะชนไปเมื่อปี 2023-2024 ที่ทั้งโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะ อัตราเร่ง ความเร็วสูงสุด จะมีรุ่นไหนที่น่าประทับใจบ้าง... ไปชมกันค่ะ
รวมรถยนต์ไฟฟ้าตัวแรงจากแบรนด์ดัง 2024
วันนี้เลดี้ได้ไปงานเปิดตัวรถยนต์ตัวแรงจากค่าย Hyundai มาค่ะ ซึ่งเค้าได้เปิดตัว IONIQ 5N รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงที่แรงแบบพร้อมเอาออกไปขับในสนามแข่งโดยที่ไม่ต้องจูนอะไรเลย ก็ลองนั่งนึกดูว่า เอ๋? แบบนี้คู่แข่งจะไปใครกันบ้างนะ เลยถือโอกาสรวบรวมเอาข้อมูลแบรนด์ดัง ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสเปคเทพระดับ Top Performance มาดูกันสิ้... ว่าจะมีคันไหนน่าสนใจบ้าง
Hyundai IONIQ 5N
ขอเริ่มต้นด้วยแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ อย่าง Hyundai IONIQ 5N ที่บอกเลยว่าถ้าเห็นสเปคแล้วรับรองว่าร้องว้าวแน่นอน ซึ่งตระกูล N เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงที่สุดของทางฮุนได ผลิตภายใต้แนวคิด Fun Driving ทำทุกที่ให้กลายเป็นสนามแข่ง ขับเคลื่อนด้วยสมรรถนะการขับขี่อันน่าทึ่ง ผสานกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าของฮุนได มาพร้อมกับขุมพลังสูงสุด 641 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร (เมื่อขับขี่ด้วย N Grin Boost) ระบบขับเคลื่อนแบบ 4WD ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 84 kWh สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 3.5 วินาที ในโหมดการขับขี่แบบปกติ หากใช้การขับขี่แบบ N Grin Boost จะสามารถทำเวลาได้ 3.4 วินาที แต่ถ้าใช้ Launch Control ร่วมด้วยอีก จะสามารถทำเวลาเหลือเพียง 3.15 วินาทีเท่านั้น ทำ Top Speed สูงสุดได้ที่ 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในส่วนของระยะทางการขับขี่ เมื่อสมรรถนะการขับขี่สูงขนาดนั้น ก็ย่อมต้องแลกกับการลดระยะทางขับขี่ไกลสูงสุดลงเหลือ 448 กิโลเมตร/การชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
ทางด้านลูกเล่นของ IONIQ 5N บอกเลยว่าแพรวพราวมาก เปิดประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าแบบมีเสียงเครื่องยนต์ ให้อารมณ์ขับขี่เสมือนจริงในสนามแข่ง ซึ่งไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เพียงแค่ภายในห้องโดยสาร แต่คนข้างนอกก็ได้ยินเสียงด้วยเช่นกัน ด้วยลำโพงด้านนอก 2 ตัว ที่ติดตั้งบริเวณฝากระโปรงหน้าและด้านท้าย ความบ้าของเค้ายังไม่หมดเพียงเท่านี้ นอกจากจะใส่เสียงจำลองเครื่องยนต์ได้ถึง 3 โหมด (Ignition, Evolution และ Supersonic) ยังใส่เสียงเครื่องบิน F16 ลงไปให้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมาพร้อมกับ N e-shift ที่เปรียบเสมือนเกียร์ให้คุณได้เปลี่ยนเล่น ให้อารมณ์เหมือนขับรถยนต์แบบ ICE สำหรับช่วงล่างสามารถปรับเป็น N Drift Optimizer ที่จะช่วยควบคุมช่วงล่างและกระจายแรงบิดไปแต่ละล้อ เพื่อตอบสนองต่อระบบขับเคลื่อน All-Wheel-Drive ได้อย่างลงตัว และยังมีเทคโนโลยี N-Specialized อื่นๆ อีกมากมาย สามารถอ่านข้อมูล Hyundai IONIQ 5N เพิ่มเติมได้ที่นี่
Hyundai IONIQ 5N มาพร้อมกับราคาจำหน่าย 3,790,000 บาท
ZEEKR X Flagship
สำหรับน้องใหม่อย่าง ZEEKR ก็ขอส่งตัว ZEEKR X Flagship ซึ่งเป็นตัวแรงของทางแบรนด์ ออกมาดันเพื่อนๆ บนท้องถนน และด้วยหน้าตาที่ เก๋ ล้ำสมัย มีเอกลักษณ์เฉพาะตามสไตล์ของ ZEEKR มาพร้อมกับความสปอร์ตผสมผสานกับความพรีเมียม บวกกับเทคโนโลยี Pilot Assistance System แบบเต็มรูปแบบ ด้วยความมินิมอลมินิใจของตัวถังที่มีขนาดน่ารักกะทัดรัด มีมิติความยาว 4,432 มิลลิเมตร กว้าง 1,836 มิลลิเมตร สูง 1,566 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ช่วยผลักดันให้สามารถรีดสมรรถนะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย Twin Motor หรือมอเตอร์คู่ ที่ผลิตพละกำลังสูงสุด 428 แรงม้า แรงบิด 543 นิวตันเมตร ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 67 kWh มีระบบขับเคลื่อนแบบ AWD (ขับเคลื่อนสี่ล้อ) สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในระยะเวลาเพียง 3.8 วินาที ทำ Top Speed สูงสุดที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีระยะทางขับขี่สูงสุด 446 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ในส่วนของโครงสร้างตัวถังเป็นแบบ SEA (Sustainable Experience Architecture) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของ ZEEKR ทุกรุ่น
ZEEKR X Flagship มาพร้อมกับราคาจำหน่าย 1,349,000 บาท
ทางด้านเทคโนโลยีบอกเลยว่าว๊าวมาก เรียกว่าให้ Tech มาแบบจัดเต็ม อาทิ เซ็นเซอร์เตือนการชนรอบคัน กล้อง 360 องศา และที่สำคัญอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าน้องมาพร้อมกับเทคโนโลยี Pilot Assistance System แบบเต็มรูปแบบ เช่น ระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบเปลี่ยนช่องทางเดินรถอัตโนมัติ, ระบบรักษาตัวรถให้อยู่กึ่งกลางช่องทาง, ระบบเตือนพร้อมป้องกันการออกนอกเลน, ระบบเตือนมุมอับสายตา, ระบบป้องกันการชน พร้อมช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบเตือนการเปิดประตู และ ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีดีเทลน่ารักๆ มากมาย จากหน้าจออัจฉริยะที่แสดงผลบริเวณเสา B โดยจะแสดงโหมดการใช้งาน ณ ปัจจุบัน รวมถึงบอก Status ของการชาร์จแบบ Real Time สามารถอ่านข้อมูล ZEEKR X Flagship เพิ่มเติมได้ที่นี่
Tesla Model Y Performance
มาถึงเจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla กันบ้าง ซึ่งถ้าหากพูดถึงในเรื่องของความแรง ก็ต้องเป็นตัวนี้เลย Tesla Model Y Performance ที่ถูกใจสายซิ่ง สายดันเป็นที่สุด ซึ่งโครงสร้างตัวถังของ Model Y เน้นไปหนักไปที่ความปลอดภัยเป็นหลัก ถูกออกแบบให้มีความสามารถในการกระจายแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม และเป็นรุ่นแรกที่ใช้ชิ้นส่วนตัวถังจากเครื่อง Gigapress ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวถังมากยิ่งขึ้น โดยการใช้แม่พิมพ์ขึ้นรูปตัวถังส่วนท้ายขึ้นมาหล่อเป็นชิ้นเดียว ต่างจากเดิมที่ต้องใช้ชิ้นส่วนโลหะถึง 70 ชิ้น เพื่อเชื่อมกันเป็นชิ้นเดียว สำหรับในรุ่น Performance ติดตั้งเป็น Dual Motor แบบซิงโครนัสกระแสสลับ ที่ผลิตพละกำลังสูงสุด 527 แรงม้า แรงบิด 660 นิวตันเมตร ทำงานควบคู่กับแบตเตอรีลิเธียมไอออน ระบายความร้อนด้วยน้ำขนาดความจุ 75 kWh ซึ่งสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 514 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ (AWD) สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 3.7 วินาที ในส่วนของขนาดตัวถังยาว 4,751 มิลลิเมตร กว้าง 1,921 มิลลิเมตร สูง 1,624 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,890 มิลลิเมตร ด้วยรูปทรงของ Model Y ที่เป็นแบบ SUV แต่สามารถทำความเร็วได้อย่างน่าประทับใจ ในขณะที่อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 12.64 kWh/100 กม. เท่านั้น แถมมีระยะห่างจากพื้น 167 มิลลิเมตร ทำให้ซิ่งได้แบบไม่ต้องเป็นกังวล
ซึ่งถ้าพูดถึง Tesla เราจะไม่ Mention ถึงเทคโนโลยี Autopilot ของเค้าไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วตัวรถเองนั้นแทบไม่มีอะไรเลย ยิ่งภายในห้องโดยสารนี่ยิ่งมินิมอลสุดๆ มีเพียงการสั่งการผ่านหน้าจอปฏิบัติการเท่านั้น ซึ่งในรุ่นปี 2024 นั้นได้รับการอัพเกรดในหลายๆ ด้าน อาทิ อัพเกรดกล้องรอบคัน จาก 1.2 ล้านพิกเซล เป็น 5.0 ล้านพิกเซล, เพิ่มเฟรมเรทของกล้อง 20-30%, ลดอากาศภาพกระพริบเมื่อกล้องจับป้ายดิจิตอล หรือจอภาพบอกความเร็วบนถนน, ระบบคอมพิวเตอร์ ประมวลผลเร็วขึ้น 2-3 เท่า, ตัดเซ็นเซอร์เตือนการชนรอบคันออก และเปลี่ยนสีฝาครอบล้อขนาด 19" เป็นสีดำ แต่หากใครที่ต้องการออปชั่นแบบจัดเต็มก็ยังคงต้องซื้อเพิ่มอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เปลี่ยนสีตัวถัง, เปลี่ยนสีภายใน, EAP Enchance Auto Pilot (ระบบเปลี่ยนช่องจราจรอัตโนมัติ, ระบบจอดรถอัตโนมัติ, Summon และ Smart Summon) และระบบขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ FSD (Full Self Driving) สามารถอ่านข้อมูล Tesla Model Y Performance เพิ่มเติมได้ที่นี่
Tesla Model Y Performance มาพร้อมกับราคาจำหน่ายเริ่มต้น 2,329,000 บาท
MG 4 XPower
เป็นอีกหนึ่งวัยรุ่น 3.8 วินาที (อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ในราคาเพียง 1 ล้านต้นๆ เท่านั้น สำหรับ MG 4 XPower อีกหนึ่งรุ่นย่อยที่แรว๊งง สมการรอคอย มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ (AWD) ผลิตพละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 435 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร ทำงานควบคู่กับแบตเตอรีขนาดความจุ 64 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง 480 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC และทำความเร็วได้สูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทางด้านขนาดของตัวถังยาว 4,287 มิลลิเมตร กว้าง 1,836 มิลลิเมตร สูง 1,516 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร มีน้ำหนักรถเปล่าเพียงแค่ 1,700 กิโลกรัมเท่านั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า XPower ของ MG 4 รีดพละกำลังมาได้ยังไง
อีกหนึ่งไฮไลท์ของ MG 4 XPower ก็คือช่วงล่างด้านหน้าที่เป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังใช้แบบอิสระ 5 ลิงก์ ผสานเข้ากับโครงสร้างตัวถัง ใส่ยางประสิทธิภาพสูงมาจากโรงงาน ทำให้รถคันนี้มีประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่สูงมากขึ้น แต่ยังคงความนุ่มนวลอยู่ไม่น้อย พัฒนาบนแพลตฟอร์ม NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM นวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ และนอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีมากมาย อาทิ ระบบ Pilot Assist, กล้องมองหลัง 360 องศา, ระบบ i-Smart และอื่นๆ สามารถอ่านข้อมูล MG 4 XPower ได้ที่นี่
MG 4 XPower มาพร้อมกับราคาจำหน่าย 1,119,900 บาท
BYD Seal Performance
และสุดท้ายเป็นรุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ BYD Seal Performance เพราะต้องยอมรับเลยว่า เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกแบรนด์ที่วิ่งกันทั่วบ้านทั่วเมืองในบ้านเรา นอกจากจะมีรูปทรงที่ เท่ ดุดัน ล้ำสมัย ถูกใจหนุ่มๆ สาวๆ เป็นที่สุด ในเรื่องของสมรรถนะก็ไม่น้อยหน้า ยิ่งในรุ่น Performance ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ (AWD) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ผลิตพละกำลังสูงสุดที่ 523 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตันเมตร ทำงานควบคู่กับแบตเตอรี่ขนาดความจุ 82.56 kWh สามารถขับขี่สูงสุดในระยะทาง 580 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ทำความเร็วสูงสุดได้ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง และทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 3.8 วินาที มีมิติตัวถังยาว 4,800 มิลลิเมตร กว้าง 1,875 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ 2,920 มิลลิเมตร
BYD Seal Performance ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน e-Platform 3.0 มีค่า Cd. สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.219 โดยชุดแบตเตอรี่ของรถติดตั้งด้วยเทคโนโลยี CTB หรือ Cell To Body ช่วยเพิ่มมิติความสูง ความแข็งของตัวพื้นฐานใต้โครงสร้าง ความปลอดภัย รวมถึงทนทานต่อการบิดตัวอีกด้วย ติดตั้ง Head UP Display หรือหน้าจอแสดงผลที่พัฒนาต่อยอดจากเครื่องบินทหารเพื่อให้แสดงผลการขับขี่ที่สามารถมองเห็นได้ในระดับสายตา มีเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่มากมาย อาทิ เรด้าห์แบบ Millimeter-Wave 5 ตำแหน่ง กล้องด้านหน้าสำหรับระบบ ADAS 1 ตำแหน่ง, ระบบช่วยแจ้งเตือนการคาดการณ์การชนล่วงหน้า (PCW), ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW), ระบบช่วยเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA-B), ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (TSR), ระบบช่วยความคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICC), ระบบชวยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAW), ระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ (iTAC) และ ระบบกันสะเทือน ปีกนกคู่หน้า (Double Wishbone) มัลติลิงค์ (Five-Link) ระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ Frequency Selective Damping (FSD) ควบคุมปริมาณน้ำมันไฮดรอลิกที่ฉีดเข้าไปในกระบอกสูบโช้คอัพผ่านวาล์ว FSD จึงปรับความนุ่มนวลและความแข็งของโช้คอัพได้โดยอัตโนมัติ สามารถอ่านข้อมูล BYD Seal Performance เพิ่มเติมได้ที่นี่
BYD Seal Performance มาพร้อมกับราคาจำหน่าย 1,599,000 บาท
BMW i5 M60 xDrive
สำหรับ BMW i5 M60 xDrive ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในตระกูล Series 5 ซึ่งคันนี้เป็นตัวแรงสุดในรุ่น อย่างที่ทราบกันดีว่าทาง BMW เป็นแบรนด์ที่ส่วนใหญ่มีแต่รถยนต์ Performance และเป็นที่นิยมในบ้านเราเป็นอย่างมาก โดยที่ i5 ยังคงหลงเหลือความเป็น ICE ไว้บ้าง ผสานความสปอร์ตและความหรูหราระดับผู้บริหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ครบครันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมาย ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ (AWD) ด้วยพลังงานไฟฟ้าของ BMW xDrive Electric จากชุดมอเตอร์ที่ผลิตพละกำลังสูงสุด 442 กิโลวัตต์ / 601 แรงม้า และแรงบิด 820 นิวตันเมตร (เมื่อเปิดใช้งานระบบ M Sport Boost หรือ M Launch Control) ทำงานควบคู่กับชุดแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงขนาดความจุ 81.2 kWh สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 3.8 วินาที โดยที่มีระยะทางขับขี่สูงสุด 455 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
นอกจากนี้ i5 ยังพร้อมกับช่วงล่างแบบ Adaptive Suspension Professional ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า และมีระบบปรับองศาล้อหลังขณะเข้าโค้ง (Integral Active Steering) มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง ในอัตราส่วน 50:50 ฟีเจอร์ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยแก้วคริสตัล อาทิ พวงมาลัย M แบบ CraftedClarity, แถบ BMW Interaction Bar รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ สามารถปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ได้ถึง 6 แบบตามรสนิยมเจ้าของ ได้แก่ Personal, Efficient, Sport และ Sport+, Expressive และ Relax สามารถอ่านข้อมูล BMW i5 M60 xDrive เพิ่มเติมได้ที่นี่
BMW i5 M60 xDrive มาพร้อมกับราคาจำหน่าย 5,599,000 บาท
อัปเดตข่าวรถล่าสุด ดูรีวิวรถยนต์ รีวิวรถมอเตอร์ไซค์ ทุกยี่ห้อ โดยทีมงานมืออาชีพ เช็คราคา ตารางผ่อน พร้อมเกาะติดข่าวสารรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ที่ Autospinn.com
ซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ต้องที่ ตลาดรถมือสอง One2car ซื้อรถง่าย ขายรถไว ทั้งรถเก๋งมือสอง รถตู้มือสอง รถกระบะมือสอง ราคาดี ฟรีดาวน์ ผ่อนถูก คุณภาพพร้อมใช้งาน
ความคิดเห็น