หลังจากที่เมื่อ 2 สัปดาห์ ก่อน (21 ตค. 2556) ได้มีการเปิดตัว All New Nissan Teana ใหม่ ไปเป็นที่เรียบร้อย ด้วยราคาที่ดึงดูด น่าจับจองเป็นเจ้าของที่สุด ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ความปลอดภัยให้แบบเต็มพิกัด มาวันนี้ 4 พย. 2556 ทาง Autospinn เราได้รับเชิญให้เข้าร่วมการทดสอบ All New Nissan Teana โฉมใหม่นี้ ด้วย โดยบินเดินทางมาไกล ถึง จังหวัดตรัง เพื่อได้ทดลองขับขี่ สุดยอดยนตรกรรม D-Segment ตัวล่าสุดคันนี้
ทางเราขอขอบคุณทาง Nissan Motors ประเทศไทย ที่ได้เชิญทางเราเข้าร่วมทดสอบ Nissan ได้เตรียมรถทดสอบไว้ 9 คัน เป็นรุ่น 2.5 หมดทุกคัน ทางเราได้รถ หมายเลข 7 สีขาว รุ่น 2.5 XV น่าเสียดายที่เป็นรุ่นไม่มี Navi จึงไม่มีโอกาสได้ลองกับระบบ Navi ใหม่ที่ว่ากันว่าใช้งานง่าย เมื่อร่วมกับ จอ 3D โดยเส้นทางนั้น เริ่มออกเดินทาง จาก ดีลเลอร์ สยาม นิสสัน ตรัง ขับขี่ไปตามเส้นทางผ่านตัวเมือง และออกไปยังนอกตัวเมือง เล่นโค้งกันได้อย่างสนุกสนานตามทางลาดชันบนเขา
เริ่มต้นกันที่ภายนอก ดูเผินๆ จะเหมือนการจับ Sylphy มาขยายตัวถังออก เนื่องจาก แนวของไฟหน้าและ ไฟท้าย แต่ไฟ LED Daylight จะถูกจับไปวางอยู่บริเวณเหนือไฟตัดหมอกคู่หน้า นอกจากนั้นในรูปแบบการดีไซน์ของตัวรถ จะออกแบบตามหลัก อากาพละศาสตร์ ช่วยลดสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน จึงให้ผลลัพธ์ทั้งความเงียบ อัตราสิ้นเปลือง ที่ดีขึ้น สำหรับรุ่น 2.5 นี้ ภายนอกจะไม่แตกต่างกันเลย ทั้ง XV และ XV Navi ตั้งแต่ไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ พร้อมไฟฉีดล้าง, ไฟท้าย LED, หลังคา Sunroof, กล้องมองภาพ 4 ตัวรอบคัน กระจังหน้าโครเมียม และล้ออัลลอย 17” สวมยาง 215/55/17 จาก Michelin Primacy
ห้องโดยสารภายใน มีโทนสีให้เลือก ดำ และ เบจ ซึ่งเลือกได้ตามต้องการ เริ่มมองที่คอนโซลกลาง หลังจากอัพรูปผ่าน Instragram ได้มีแฟนๆ มา comment กันว่า ภายในดูเรียบมาก ซึ่งนั่นเป็นจุดหนึ่งที่ ผมรู้สึกว่า มันไม่ได้ดูหรูหรา สักเท่าใดเลย จากการออกแบบให้เรียบง่าย อย่างน้อยน่าจะมีการตกแต่ง Trim ที่เป็นลาย Metallic บริเวณคอนโซลกลางเพิ่มเข้าไปเพื่อให้ดูมีลูกเล่นสักหน่อยน่าจะยังดี บริเวณคอนโซลกลางประกอบไปด้วย เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone (แยกอิสระได้ซ้าย-ขวา) หน้าจอแสดงผล 5” ไม่สามารถสัมผัสได้ นอกนั้นอุปกรณ์พื้นฐานในห้องโดยสาร ก็ยังมีมาให้แบบครบครัน อย่างที่ควรจะเป็น ทั้งปุ่ม Start Engine, พวงมาลัย พร้อมสวิทช์ Multifunction และ Cruise Control ที่ด้านขวาพวงมาลัย จะมีปุ่มอีกมาก ทั้ง ปุ่มปิด Warning, ECO Mode, สวิทช์ ม่านบังแดด, ปุ่มปิด Traction เมื่อหันมามอง ที่จอ 3D ดู สะดวกสบายตา สมจริง สามารถปรับดูค่า ต่างๆ ได้ผ่านทางปุ่ม Multifunction ที่พวงมาลัย เบาะไฟฟ้า ที่มีตัวดันหลัง พร้อม Memory Seat 2 ค่า สามารถ Sync กับกุญแจอัจฉริยะ ได้ และจุดขายหนึ่งคือ เครื่องเสียง BOSE ที่มาพร้อมลำโพง 9 ตัว ให้เสียงหนาสะใจ แต่ รู้สึกเสียงจะยังไม่กว้าง ใส นัก
และ ผมได้เริ่มต้นจากการเป็นผู้โดยสารก่อน เข้าไปนั่งที่ตอนหลัง พบว่า พื้นที่ Legroom กว้างขวางนั่งสบาย และเบาะนั่งที่โอบรับต้นขา นุ่มสบายด้วย แต่ Headroom กลับ มีน้อยไป ผมสูง 174cm ถ้านั่งตัวตรง ขึ้นมา ศรีษะจะชนเพดานทันที ซึ่งคนที่สูงระดับ 180cm ขึ้นไป ต่อให้นั่งตามสรีระเบาะ ก็ดูท่าจะนั่งลำบากเหมือนกัน
ด้านระบบความปลอดภัย อัดแน่น ตั้งแต่ ถุงลม SRS คู่หน้า, ข้าง และม่านถุงลม
ระบบช่วยเบรก ABS, BA, EBD ระบบ VDC (vehicle Dynamic Control) ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบ TCS (Traction Control System) ป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบ HSA (Hill Start Assist) ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และระบบ ATC (Active Trace Control) ระบบช่วยควบคุมการเลี้ยว ขณะเข้าโค้ง ป้องกันไม่ให้รถดื้อโค้ง โดยนจะช่วยเบรก จากล้อด้านใน
AVM (Around View Monitor) กล้องมองภาพแสดงผล 360 องศา ซึ่งเกิดจากการประมวลผลจากกล้อง 4 ตัว ช่วยให้เราถอยจอด และเดินหน้าจอดได้อย่างปลอดภัย
ระบบช่วยการขับขี่อัจฉริยะ ITS (Intelligent Transport System)
ได้แก่ BSW (Blind Spot Warning) จะทำงานเมื่อขับเร็วกว่า 32 กม./ชม. ใช้กกล้องมองหลังตรวจจับ 2 ฝั่ง ถ้ามีการรถแซงขึ้น จะมีไฟกระพริบเตือน ที่บริเวณกรอบกระจกมองข้าง หากเราเปิดไฟเลี้ยวในขณะนั้น จะส่งเสียงเตือน
LDW (Lane Departure Warning) จะทำงานเมื่อขับเร็วกว่า 70 กม./ชม. เพื่อให้ไม่หลุดจากแนวของเส้นเลนถนน กรณีที่ไม่เปิดไฟเลี้ยว
MOD (Moving Object Detection) จะทำงานร่วมกับ AVM เมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 8 กม/ชม. จะเป็นระบบช่วยจอด คือ เมื่อมีวัตถุ เข้ามาใกล้ ในระยะที่กล้องตรวจจับได้ จะมีสีเตือน ขึ้น และถ้าเข้าใกล้มาก จะมีเสียงช่วยเตือนซ้ำ
สมรรถนะของขุมพลังใหม่ 2.5 ลิตร 4 สูบ รหัส QR25DE DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบ Twin C-VTC ให้กำลัง 173 แรงม้า @6,000rpm และแรงบิด 234 Nm @4,000rpm จากที่เราคิดในตอนแรกว่า การปรับกลับมาใช้เครื่องยนต์แบบสูบเรียง 4 สูบ นั้นจะทำให้พละกำลัง ลดลงหรือไม่ ซึ่งจาก การพรีเซ้นท์ ของทาง พี่ๆ ทีม Nissan ปรากฏว่า อัตราเร่งดีกว่าเดิม และที่สำคัญ ประหยัดน้ำมัน สูงขึ้นถึง 27% และเมื่อผมได้ลองขับจริง พบว่า อัตราเร่งช่วงต้น ร่วมกับการทำงานของ เกียร์ X-Tronic CVT ด้วยแล้วการตอบสนอง ทำได้ดีมาก ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า อัตราน่าจะดีที่สุดในกลุ่มพิกัด 2.4-2.5 เลยก็ว่าได้ การออกตัวปรู๊ดปร๊าด มีกระชากหลังติดเบาะอยู่ เหมือนกัน ซึ่งในช่วงต้นถือว่าทำได้ดีกว่าที่คิด และพูดถึงช่วงความเร็ว กลาง ขึ้นไป ที่ผมคิดว่า น่าจะไม่ดีเท่าไร แต่ จังหวะเร่งแซงที่ความเร็ว ระดับ 100 กม./ชม. ขึ้นไป และไม่ได้มองเรือนไมล์ หันกลับมาอีกที 170 กม./ชม. ไปแล้ว ด้านสมรรถนะ ทำได้เกินดีทั้งช่วงอัตราเร่ง จนไปถึงช่วงเร่งแซง แต่ข้อเสียที่พบได้เด่นชัด คือ เสียงเครื่องยนต์ จะค่อนข้างแผดดังเข้ามาในห้องโดยสารมากกว่า
ระบบส่งกำลัง เกียร์ X-Tronic CVT ยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเหมือนเดิม ทั้งความนุ่มนวล และการตอบสนอง ซึ่งทำได้รวดเร็ว สำหรับใน Teana ใหม่นี้ จะมีโหมด D สำหรับขับขี่ปกติ ถ้า Kick down รอบเครื่องจะแช่ค้างที่ราว 6,500rpm และความเร็วจะไต่ขึ้นเรื่อยๆ, Ds สำหรับการขับแบบสปอร์ต การตอบสนองต่อคันเร่งไว้กว่า และ การเปลี่ยนเกียร์จะเหมือนแบบเกียร์ AT คือ รอบเครื่องฟาดขึ้น และลง แบบมีการ Shift เกียร์ และเมื่อการขับขี่ในทางโค้ง หรือต้องการใช้ Engine Brake ก็สามารถกดปุ่มบนหัวเกียร์ ปุ่ม Sport ที่ทำหน้าที่เหมือน Overdrive คือ ลดเกียร์ลงมา 1 เกียร์ รอบเครื่องจะมาคารอเอาไว้ ให้เร่งแซงได้อย่างทันท่วงที
ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยไฟฟ้า สไตล์ Nissan การตอบสนองยังดูหน่วงๆ เล็กน้อย ที่จังหวะคลานออกตัว ยังพอมีความหนืดน้ำหนักอยู่ให้รู้สึกได้ และเมื่อความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ พวงมาลัยหนักขึ้นแบบสัมผัสได้ น้ำหนักแปรผันตามความเร็ว แต่ที่ไม่ชอบคือ น้ำหนักที่หนืดขึ้น จริง แต่เมื่อ พวงมาลัย หมุนเคลื่อนวงเลี้ยว เลยช่วงที่มีระยะฟรีไปแล้ว พวงมาลัย ก็ยังรู้สึกว่าเบาไปอยู่ดี แต่การตอบสนอง ในการเข้าโค้งโดยรวมถือว่า ทำได้ค่อนข้างดีแม่นยำ ใช้ได้ทีเดียว
ระบบกันสะเทือน ช่วงล่างเป็นแบบ Multi-Link ออกแบบใหม่ ให้ความสะดวกสบายในการโดยสารนุ่มนวล อย่างแท้จริง ผมนั่งตอนหลัง สามารถหลับได้อย่างสบายๆ และเมื่อเป็นผู้ขับ ลองโยนเข้าโค้ง พบว่า ถ้าไม่ได้ เข้าที่ความเร็วสูงผิดปกติ ยังถือว่าทำหน้าที่ได้ดี แต่ถ้าหาก เข้าโค้งหนักๆ ตามสไตล์การเซ็ตช่วงล่าง จะมีการโยนตัวบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าหาก เข้าโค้งหนัก แบบวาดมากว้างๆ หรือผิดไลน์ อาการ Understeer ดื้อโค้งก็ยังคงออกมาให้เห็นชัดเจน และด้วยชนิดของหน้ายาง ขนาด 215 ซึ่ง ด้วยไซส์ของตัวรถ อาจใส่แม็กได้ใหญ่กว่านี้ และหน้ากว้างกว่านี้ ซึ่งน่าจะช่วยให้มีการยึดเกาะ Grip ในการเข้าโค้งที่ดีขึ้นกว่านี้ แต่ก็ตามที่บอก ต้องแลกมาด้วยความกระด้าง และอัตราสิ้นเปลืองที่เพิ่มขึ้นอีก ทาง Nissan จึงเลือกเซ็ตช่วงล่างออกมาแบบนี้ ซึ่งสำหรับผมคิดว่าเหมาะสมแล้ว กับรถ D-Segment นั่งสบายแบบผู้บริหาร
ระบบห้ามล้อ เบรกดิสก์ 4 ล้อ ที่การตอบสนอง ออกแนวนิ่มๆ ต้องค่อยๆ ลงน้ำหนัก จากการขับขี่ในขบวน พบว่า การตอบสนองของแป้นเบรก ยังทำได้ไม่ไวพอ ต้องลงน้ำหนักแป้นลึก และหลายครั้งที่รถยังหยุดไม่อยู่ กระทืบลงน้ำหนักจังหวะสุดท้ายจนหน้าทิ่มหลายครั้ง ซึ่งอาจจะดูช้าเกินไป หากต้องมีการเบรกแบบฉุกเฉิน
สรุป เบื้องต้น All New Nissan Teana รถ D-Segment บ้านเรา ที่ให้ความสบายในการโดยสารที่น่าจะดีที่สุดในกลุ่ม ยกเว้น (พื้นที่ Headroom ตอนหลัง) และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เต็มเปี่ยมจับต้องได้จริง กับระบบเตือนต่างๆ กล้องมองภาพ 360 องศา สมรรถนะเครื่องยนต์ตัวใหม่ ที่จับคู่กับ X-Tronic CVT ที่ปรับปรุงใหม่ มันตอบสนองได้อย่างเยี่ยมยอด นอกนั้นก็อาจมีบางจุดที่ดู แล้วเซ็งไปบ้าง กับวัสดุคอนโซล และการดีไซน์ ที่ดูจะไม่หรูเอาซะเลย แต่ด้วย ราคาที่น่าดึงดูดที่สุด มันจึงทำให้ Nissan Teana ใหม่ เป็นรถยนต์ที่น่าสนใจมากที่สุด ในกลุ่ม ณ ขณะนี้ ซึ่งผมอยากให้ทุกคนที่สนใจ ได้ลองทดสอบสมรรถนะ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง เสียจริง
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ความคิดเห็น