Toyota Yaris ใหม่ 2014 ถือเป็นรถคันหนึ่งที่ถือเป็นอีกหนึ่งรถเด่นในปี 2013 เปิดตัวไปเมื่อเดือน ตุลาคม 2013 ซึ่งที่จริงควรที่จะเปิดตัวก่อนหน้านี้ตั้งนาน แต่สาเหตุของความล่าช้าก็เกิดจากการแก้ไขตัวรถให้ได้ตามเงื่อนไขของ Eco Car ของรัฐบาล ตามที่เราได้เคยระบุไปก่อนหน้านี้ ด้วยความที่เป็นรถยนต์ Eco Car คันล่าสุดในบ้านเรา ที่มากับเครื่องยนต์ และเกียร์ลูกใหม่ มีตัวถังที่ใหญ่ที่สุดกว่าเพื่อน Eco ด้วยกัน มากับ Concept All New YARIS…THAT’S RIGHT! ที่สุดของความใช่ ในสไตล์คุณ มีให้ 4 รุ่น คือ 1.2G, 1.2E, 1.2J และ 1.2J Eco กับ 7 สี ได้แก่ ส้ม Orange Metallic, แดง Red Mica Metallic, ฟ้า Frozen Blue Metallic, เทา Gray Metallic, ขาว Super White, เงิน Silver Metallic, ดำ Attitude Black Mica สนนราคาตั้งแต่ 4.69-5.99 แสนบาท ด้วยดีไซน์ตัวรถที่ดูสวยงามและดุดัน แบบรถ Sport Hatchback จึงช่วยกวาดยอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปีให้ Toyota กลับมาขึ้นนำได้สำเร็จ (แต่รวมทั้งปียังครองที่ 2) เจ้า Yaris Eco ใหม่นี้ จะดีใช่ในสไตล์คุณ หรือไม่ ลองมาอ่านรีวิว นี้ดูกัน
รูปลักษณ์ภายนอก เมื่อเดือนเม.ย. ปีที่แล้ว ผมได้เคยลงข้อมูล Project Code ของ All New Yaris ที่ใช้รหัส 380A ในขณะที่ Vios เป็น 381A และรายละเอียดทั้งหลายที่ได้เคยบอกไปตั้งแต่ตอนนั้น ว่าการดีไซน์ได้ออกมาแนวทางเดียวกัน โดยด้านหน้าได้มีการปรับเปลี่ยนให้ look สปอร์ตกว่า Vios เล็กน้อย แต่ยังคง featured จุดขายไว้ ทั้ง ครีบ (Fin) ที่กระจกมองข้าง และสันหลังคา Catamaran จากไฟหน้าที่มีเส้นสายลากขาวขึ้น ทำให้ฝากระโปรงและ แก้มข้าง ต้องเปลี่ยนใหม่เพื่อให้รับเข้ากัน จากแนวเส้นไฟที่ลากยาว ดูคมขึ้น พร้อมลวดลายกระจังหน้าตัดโครม ที่ดูเหมือนหนวด มันทำให้ด้านหน้าดูดุดันขึ้น
แต่เมื่อหันมองด้านท้าย หลายคน รวมถึงผู้ใหญ่ที่บ้านผม กลับบอกว่า ท้ายมันไม่สวยเอาเสียเลย ที่เป็นเช่นนั้น เพราะหากมองจากทางด้านหลัง ไฟท้ายจะดูโค้งมน ไม่เห็นเส้นสายด้านข้าง ที่มีลักษณะเหมือนบูมเมอแรง และประตูท้ายที่ดูโค้งเรียบ ไม่มีเส้นสายที่ทำให้มันดูโดดเด่น จึงทำให้ดูไร้ลูกเล่น ไม่เฉียบคมเหมือนด้านหน้า แต่ที่แปลกใจ คือ Yaris แม้ว่าจะเป็นตัวท๊อป รุ่น G อย่างเช่นคันที่ได้รับมาทดสอบนี้ก็ไม่มีไฟตัดหมอกให้ เมื่อเทียบกับราคาแล้ว ถ้าจะว่าลดต้นทุนก็ดูไม่น่าใช่ เพราะราคาก็เปิดมาดุพอกับหน้าตาเลย ถึงแม้ไฟตัดหมอก จะดูไม่จำเป็นนักในบ้านเรา แต่การที่ ทำช่องหลอกเหมือนมีไฟตัดหมอกอยู่ (เหมือน Vios) มันช่างดูตลก ถ้าจะไม่ให้มา ก็ไม่น่าจะต้องมีช่องไฟตัดหมอกมาให้ นั่นสรุปได้ ค่อนข้างชัดว่า “เอาไว้ติดเอาเองภายหลังไม่ว่า จะให้เซลล์ จัดการ หรือไปหาของแต่งใส่เอาเองก็ตาม” และในรุ่น G นี้ ใช้ล้ออัลลอย 15” สวมยาง 185/60 R15 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นเดียวที่ใช้ล้ออัลลอย เพราะรุ่นอื่นให้ล้อกระทะหมด (E 15”, J 14” พร้อมฝาครอบ, J Eco 14” ไม่มีฝาครอบ)
สำหรับมิติภายนอก (กว้าง x ยาว x สูง) = (1700 x 4115 x 1475 mm). ความกว้างฐานล้อ 2550 mm. ซึ่งถือว่ามีมิติ ที่ใหญ่สุดในกลุ่ม Eco Hatchback บ้านเราแล้ว เมื่อเทียบกับ Vios จะกว้างกว่า 5mm. สั้นกว่า 300 mm. และ สูงกว่า 5 mm. ด้วยกัน
โฉมภายใน แทบไม่ต้องพูดกันซ้ำ เพราะมันเหมือนกับ Vios เปี๊ยบ โดยในรุ่นนี้ เป็นรุ่น G ตัวท๊อป ก็ ตั้งแต่ระบบ Keyless เปิดประตูที่ช่วยให้คุณไม่ต้องควานหารีโมทในกระเป๋า ปุ่ม Push Start เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ (ดูให้เห็นความเย็นดีมาก แม้จะอยู่ที่ 27-28 องศา) พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่ม Multifunction กระจกบานหน้าแบบ Acoustic Glass (กันเสียงรบกวน) เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 พร้อมพื้นที่สัมภาระท้ายถึง 326 ลิตร
สำหรับในการนั่งขับขี่นั้น กับตัวผมที่มีส่วนสูง 174cm ยังรู้สึกอึดอัดบ้างเช่นเดียวกับ Vios คือ ตำแหน่งเข่าจะติดกับ บริเวณแผงคอพวงมาลัย เวลาปรับเบาะด้านข้างศอกก็จะติดกับแผงประตู พวงมาลัยปรับระยะยืด-หด ไม่ได้ ช่องวางของตรงคอนโซลกลาง ก็ดูจะวาง มือถือ ได้ลำบาก เพราะถ้าวางไม่ดี จะตกลงมาข้างเบาะ และมีพื้นที่วางค่อนข้างน้อย ซึ่งต้องอาจเลื่อนของไปว่าง ตรงที่วางแก้ว ด้านหลัง ซึ่งดูจะไกลเอื้อมมือไปหน่อย
ในส่วนทัศนะวิสัย ในด้านหน้ายังคงเหมือนกับ Vios แต่ด้านหลัง ดูมุมจะอับมากไปหน่อย ซึ่งเป็นสไตล์ของรถ Hatchback ซึ่งบริเวณเสา C ที่ดูหนา และพนักพิงศรีษะตอนหลัง ทำให้การมองกระจกบานหลังมุมเหลือน้อยลงมาก เช่นนั้นยังไม่พอ การเลี้ยวรถออกจากซอยด้านขวา ดูเมื่อหันไปมองซ้ายมือ กับโดนเบาะนั่งด้านซ้าย และเสา B บังอีก ต้องคอยมองจากกระจกมองข้างที่มีพื้นที่กระจกไม่มากนัก ค่อยๆ ดูจังหวะดีๆ ก่อนเคลื่อนตัวออกไป
สำหรับพื้นที่ Leg Room ที่ยาวขึ้นจริง แต่ Head Room ยังคงดูไม่สูงนัก ถ้าคนตัวสูงมานั่งก็อาจจะรู้สึกอึดอัด ได้เหมือนกัน
ด้านการขับขี่ เครื่องยนต์รหัส 3NR-FE 1,197cc 4 สูบ DOHC ระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i ให้กำลัง 86 แรงม้า ที่ 6,000rpm และ แรงบิด 108Nm ที่ 4,000rpm รองรับน้ำมัน E20
หลังจากกดปุ่ม Push Start แล้วเสียงเครื่องยนต์ติดขึ้นแบบแผ่วเบา ไม่ดังเหมือนรถค่ายอื่น ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลจากรอบเดินเบาที่ไม่สูง
เมื่อเริ่มแตะคันเร่งแบบแผ่วเบา จะรู้สึกว่าคันเร่งค่อนข้างแข็งแบบ Vios และการตอบสนองดูจะออกมาเช่นเดียวกัน คือ ออกแนวเชื่องช้า ซึ่งถ้าเป็นพวก ตีนเบา แล้วล่ะก็ แทบจะเรียกได้ว่า มันออกตัวอืดที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่หากกดคันเร่งลงไปลึกถึง ¾ เหย! รถมันไม่อืดอย่างที่คิดนี่นา การเร่งแซงด้วยการ Kick Down ถือว่าทำได้ ดีกว่าที่คิดเลย ในช่วงออกตัวที่ความเร็ว 0-40 กม./ชม. ช่วงนี้ ต้นอาจจะไม่เท่ากับรถคันเล็ก 3 สูบ ที่ได้น้ำหนักเบา แต่ช่วงความเร็วกลาง ขึ้นไป จนถึงระดับ 140 กม./ชม. กลับทำได้ดีทีเดียว คือมาเรื่อยๆ ไม่ได้รู้ว่ารถมันอืดแต่อย่างใด ให้พละกำลังราวกับขับรถในพิกัด 1.5 อย่างใดอย่างนั้น แต่หลังจากที่ลอยลำ ระดับ 140 กม./ชม. + จะเริ่มรู้สึกขึ้นความเร็วไต่ขึ้นช้าลง พร้อมกับเสียงลมที่เริ่มจะดังขึ้น (ในระดับความเร็ว 120 กม./ชม. ยังถือว่าเก็บเสียงได้ค่อนข้างดี)
และเราได้มีโอกาสลองวัดตัวเลขสมรรถนะจาก OBD พบว่าตัวเลขที่ได้ดูไม่ค่อยจะดีนัก น่าเสียดายที่มีโอกาสได้ลองเพียงแค่ครั้งเดียว เท่านั้นในโหมด D 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาถึง 13.98 วินาที ¼ ไมล์ ที่ 19.77 วินาที ที่ความเร็ว 117 กม./ชม. ซึ่งมีความเป็นไปได้จาก ECU ที่ยังเรียนรู้การขับขี่แบบเชื่องช้ารถติดหนัก ร่วมกับเป็นจังหวะที่เราเทสหลังจากถ่ายรูปรถเสร็จ จึงทำให้การตอบสนองนั้นออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
ด้านอัตราสิ้นเปลือง จากมาตรวัด ลองดูได้ เฉลี่ยราว 19 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งนอกเมือง ที่ความเร็ว ประมาณ 100 กม./ชม. และในตัวเมืองอยู่ที่มีรถติดบ้าง ได้เฉลี่ยราว 15 กม./ลิตร
ระบบส่งกำลัง Yaris ใหม่จะมีเพียงรุ่นเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i โดยมีตำแหน่งเกียร์ เป็น P R N D-S และ B ซึ่งใครหลายคนอาจ งง ที่จริงมันทำหน้าที่เหมือนเกียร์ L คือเป็นเกียร์ต่ำ ใช้สำหรับขึ้น ลงทางชัน เพื่อให้มีกำลัง Engine Brake คอยคุมช่วยอยู่ (จะเห็นได้ในรถ Hybrid อย่าง Prius เป็นต้น) ที่สำคัญมันมีอัตราทดเฟืองท้ายที่สูงมากที่ 5.8 สูงกว่า Proton Preve ที่ 5.7 เสียอีก นี่อาจเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้รถนั้นยังคงวิ่งได้อย่างดี ไหลลื่น แต่ก็อาจแลกกับอัตราสิ้นเปลืองที่กินขึ้นอีกหน่อย จากการใช้รอบเครื่องที่ดูจะสูงไปสักนิด
ลองวัดความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ ได้ดังนี้
80 กม./ชม.=1700rpm 100 กม/ชม.=2100rpm 120 กม./ชม.=2550rpm
การตอบสนองของเกียร์ในโหมด D อย่างที่ได้กล่าวไป หากไม่ได้กระแทกคันเร่งลงกันหนัก การตอบสนองจะดูค่อนข้างเชื่องช้าไปหน่อย แต่ทว่า เมื่อตบเกียร์เข้ามาทางซ้ายสู่ตำแหน่ง S การตอบสนองจะดียิ่วขึ้น รอบมารอให้แต่เนิ่นๆ พร้อมส่งคันเร่งเพื่อพุ่งทยานแซงรถ ได้อย่างไม่เหนื่อยลากเค้นจนเกินไป และหากต้องการเลี้ยวโค้งที่แคบ และลึก หรือขึ้น-ลง ทางที่มีความชันสูง ก็ตบจากเกียร์ S ลงมาด้านล่างสู่ตำแหน่ง B จะช่วยให้เครื่องมี Engine Brake ช่วยฉุดดึงตัวรถให้มีกำลังในการไต่ทางชัน หรือชะลอความเร็วในทางโค้งได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของแฮนด์ลิ่งพวงมาลัย ที่ใช้พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS เช่นเดียวกับ Vios นั่นจึงทำให้มันมีฟีลลิ่งที่ออกมาคล้ายกัน คือ รู้สึกได้ว่าเป็นพวงมาลัยแบบผ่อนแรงไฟฟ้าหนืดๆ การตอบสนองไม่เป็นธรรมชาตินัก ในช่วงความเร็วต่ำ ให้การตอบสนองที่เบาพอเหมาะมือ แต่ยังมีความหนืดอยู่ เมื่อความเร็วมากขึ้น จะดูมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหน่อย และเมื่อขับที่ความเร็วสูง กลับยังรู้สึกว่าเบาเกินไปนิด แต่ยังถือว่ามีความมั่นคงใช้ได้ระดับหนึ่งในการขับขี่ที่ความเร็วสูง (ทางตรง) และในการเลี้ยวพวงมาลัย วงเลี้ยวพวงมาลัยดูไม่มีการคืนตัว เนื่องจากในการหักพวงมาลัย ในจังหวะแรก เหมือนจะมีช่วงฟรี อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งการที่พวงมาลัยมีลักษณะนี้ จะช่วยในเรื่องการขับขี่บนทางตรงที่ใช้ความเร็ว พวงมาลัยตอบสนองไม่ไวเกินไป และมีความหน่วงมืออยู่ ทำให้การควบคุมพวงมาลัยบนทางตรงนั่นดูมั่นคงพอสมควร แต่กลับการหักเลี้ยว มันยังคงดูไม่แม่นยำสักเท่าใด พวงมาลัยดูตอบสนองช้าไป และทำให้วงเลี้ยวไม่คืนตัว และอาจจะยังดูหักวงเลี้ยวไม่ค่อยเข้า (Under Steer) เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว พวงมาลัยมันพยายามที่จะพุ่งไปในแนวตรง ดังนั้นการเลี้ยวโค้ง หากใช้ความเร็วอาจต้องควบคุมพวงมาลัยให้ดี อาจต้องฝืนพวงมาลัยให้เลี้ยวเข้ามากกว่าเดิม
ระบบเบรก ใช้ดิสก์เบรกคู่หน้า และดรัมเบรกคู่หลัง ในทุกรุ่น ฟีลลิ่งเบรกเหมือนกับ Vios เปี๊ยบ แป้นเบรก เซ็ตตื้นดี ตอบสนองฉับไว ทันใจเสียจริง แต่เบรกแล้วอาจหัวทิ่มไปหน่อย เมื่อขับคลานในตัวเมืองที่ความเร็วต่ำ กับผู้ไม่ชินการเซ็ตแป้นแบบนี้ เมื่อขับออกทางไกล การเบรกถือว่าทำได้เหมาะสมกับความเร็วที่ใช้ ยังหนึบเบรกหยุดอยู่เท้าได้ดี แต่เมื่อขับขี่มาเป็นเวลานาน และใช้เบรกที่หนักขึ้น และถี่ขึ้น ยิ่งขับแบบ เร่งๆ เบรกๆ จะเริ่มรู้สึกได้ว่า การเบรก ถี่ๆ บ่อยๆ ใช้งานมาอย่างต่อเนื่องชัก จะเริ่มมีอาการเบรกเฟด ออกมาให้เห็นบ้างเหมือนกัน ซึ่งจะกลับมาในฟีลเบรกของ Toyota รุ่นอื่นๆ คือ ต้องลงน้ำหนักมากขึ้นในจังหวะสุดท้าย ก่อนที่จะถึงรถคันข้างหน้า
ช่วงล่าง ด้านหน้าแบบ แม็กเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็น ทอร์ชั่นบีม ซึ่งยังคงอิงช่วงล่างแบบเดียวกับ Toyota Vios ได้พัฒนาให้นุ่ม นั่งได้สบายขึ้น แต่ยังให้สมรรถนะ ด้านการยึดเกาะถนนที่ยังดีอยู่ (ในทางตรง) และช่วงล่างที่ยังคงแน่นเฟิร์ม สังเกตุได้จากการขับผ่านทางรถไฟ ที่ดูไม่กระโดกกระเดก มากจนเกินไป และที่สำคัญ ไม่สะเทือนขึ้นมาถึงท้องน้อยให้ปั่นป่วนลำไส้กันมากนัก แต่เมื่อความเร็วผ่านระดับ 130 กม./ชม. ขึ้นไป รถเริ่มมีอาการโคลงเคลงให้เห็นแล้ว ในส่วนของการยึดเกาะในทางโค้ง ยังคงรู้สึกถึงอาการหน้าดื้อ (UnderSteer) ให้เห็นอยู่ แต่โดยส่วนตัว กลับรู้สึกว่า อาการของรถมีให้เห็นน้อยกว่า Vios เนื่องจากการช่วงล่างที่มีความยืดหยุ่นมากกว่านิดหน่อย ในจังหวะยุบตัวและ คลายตัว (Damping, Rebound) ทำให้การเข้าโค้ง หน้ารถดูจะหักเข้าได้มากกว่า Vios อยู่ อาการยุบยวบตัว ในจังหวะเข้าโค้งหนักๆ ไม่มีออกมาให้เห็นเหมือนกับรถ Eco Car รุ่นเล็กของค่ายอื่น
สำหรับความสบายในการโดยสาร ดูจะนุ่มนิ่มกว่า Vios อยู่เล็กน้อย โดยรวมถือว่านั่งได้สบายพอตัว แต่ถ้าเทียบกับความนิ่มของช่วงล่างกับ รุ่นอื่น ยังไม่ถือว่านิ่มที่สุด
สรุป All New Toyota Yaris ใหม่ Eco Car 5 ประตู คันล่าสุดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่ดีกว่าเพื่อนในกลุ่ม Eco Car ด้วยกัน (ข้อได้เปรียบจากการใช้ตัวถัง B-Segment และ เครื่องกับเกียร์ลูกใหม่) นอกจากนั้นพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย อีกทั้งออปชั่นโดยรวมที่ถือว่ามาเป็นลำดับต้นๆ (รุ่น G) ด้วยกระจกบังลมหน้า Acoustic Glass ทำให้ห้องโดยสารเงียบที่สุดในบรรดา Eco Car แต่บางอย่างกับดูกั๊กๆที่จะให้ อย่างการไม่มีไฟตัดหมอกมาให้แม้จะเป็นรุ่นท๊อป ที่เหลือกับราคาที่อาจจะดูแรงกว่าเพื่อนไปสักหน่อย ถึงแม้เริ่มที่ราคา 4.6 แสน ในรุ่น J Eco แต่ตัวที่เหมาะกับการใช้งานจริง คงต้องไปเริ่มที่รุ่น J ที่ราคา 5.19 แสน จนถึงรุ่น G ท๊อปสุด ที่ 5.99 แสน แพงไม่แพง ขึ้นกับความต้องการของคุณ ว่าจะได้คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไปหรือไม่ ทางที่ดีควรไปลองขับด้วยตัวเอง คุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง กับรถ Eco Car คันอื่นๆ
ขอขอบคุณ Toyota Motors ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Toyota Yaris G สีส้ม คันนี้
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ชมภาพเพิ่ม คลิ๊ก
พบรถ Toyota และ Toyota Yaris มือ 2 ได้ที่ Thaicar.com
ความคิดเห็น